ถ้าชีวิตจะเคยไม่มั่นใจว่าจะทำอะไรประสบความสำเร็จซักอย่าง หรือถ้ามองย้อนกลับมา ช่วงชีวิตที่จะว่าเครียดก็ไม่เชิงจะว่าปลงก็ไม่ใช่ มีท้อแท้ มีสิ้นหวัง มีหวังใหม่ มีเซอร์ไพรส์ ก็คงเป็นการ recruit หา internship ที่อเมริกานี่แหละ
เคยมีคนบอกว่าหางานที่อเมริกายากยิ่งกว่าเข้า Harvard อะไรมันจะขนาดนั้น ตอนได้ยินครั้งแรกก็คิดว่าอืม คงยาก แต่คงไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงหรอกมั้ง ตอนนี้อ่ะหรอ รู้ซึ้งเจ็บช้ำซ้ำไปถึงไส้ติ่งส่วนใน ใครมีปัญหาเรื่อง ego สูง แก้ไขด้วยการมาสมัครงานที่อเมริกาได้ โดน reject กระทืบ ego ที่มีจนจมธรณี ขนาดตอนนี้ได้งานแล้ว ego ยังอยู่ต่ำจนต้องหาอะไรขุดขึ้นมาถึงจะกล้าสบตาผู้คนได้
ถ้าพูดกันตรงๆ โดยอาจจะไม่ได้นับรวมเด็กไทยเพราะส่วนใหญ่เป็นเด็กทุนหรือต้องกลับไปช่วยงานกิจการที่บ้าน การหางานหรือที่เรียกกันว่า recruit เป็นส่วนประกอบที่เรียกได้ว่าสำคัญที่สุดของคนมาเรียน MBA เพราะเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีเงิน 10 ล้าน เลยต้องกู้เงินกับโรงเรียน (ซึ่งทำตัวเป็นแบงค์ กินดอกเบี้ยไปตามระเบียบ นี่คือสาเหตุว่าทำไมโรงเรียนถึงรวยมากกกก) เพื่อลงทุนมาเรียน MBA โดยหวังว่าจบจะสามารถมีงานเงินเดือนอย่างน้อยๆ 2-3 แสนเพื่อเป็นศิริมงคลให้กับชีวิต และจ่ายหนี้ค่าเรียนที่กู้ไปนั่นเอง
ตัวฉัน แม้จะได้ scholarship ส่วนหนึ่ง แต่ค่าเรียนที่เหลือบวกค่ากินอยู่ที่อเมริกาก็ซัดไป 4-5 ล้าน เล่นเอาเงินเก็บทั้งชีวิตหมดจนไม่เหลือ นี่ไม่พูดถึง opportunity cost ที่มาเรียนโดยไร้รายได้อีก 2 ปี การหางานจึงถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันพอๆกับการไป party เลยทีเดียว (เกือบจบสวยล่ะมึง)
ก่อนจะบรรยายไปถึงความทุกข์ทนทรมานที่ได้รับตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ขออัญเชิญ recruitment timeline ของข้าพเจ้า หลักๆมีอยู่ 13 task ใหญ่ๆ เดี๋ยวจะค่อยๆจาระไนถึงรายละเอียดที่ลองผิดลองถูกมาทั้งหมด เพื่อคนรุ่นหลังสืบไป post นี้คอนเท็นต์เยอะรูปน้อยต้องขออภัย
Kellogg’s Recruitment Resouces
ก่อนจะไปที่หัวข้อต่างๆ ขอปูพื้นฐาน resources ที่ Kellogg มีให้เพื่อช่วยนักเรียนหางาน ส่วนตัวจากที่ได้สัมผัสและฟังๆมาโดยไร้การเข้าข้างโรงเรียนตัวเองเชื่อว่า Kellogg ไปโรงเรียนที่มี resource ด้านการหางานที่ดีติดอันดับต้นๆของอเมริกา เผื่อใครยังไม่แน่ใจนึกว่าเป็นแค่ party school (คือเด็กอ่ะ party แต่เจ้าหน้าที่เค้าก็ช่วยดึงกลับมาหางานอยู่)
Career Managemence Center (CMC)
ถึงแม้จะถูกเหน็บแนมจากนักเรียนบ่อยๆ แต่ฉันคิดว่า CMC ที่นี่ค่อนข้างดี มี resource ที่ช่วยนักเรียนค่อนข้างเยอะมากๆเลยทีเดียว เดี๋ยวจะรีวิวว่าอันไหนเด็ดดวง อันไหนวายป่วง แต่ขอ disclaimer นิดหนึ่งว่าอันนี้จากประสบการณ์และความรู้สึกของฉันล้วนๆจ้า
- Career Coaches
ยังไม่ทันจะเปิดเทอมเริ่มเรียนดี ก็มีอีเมลส่งออกมา assign Career Coach ให้นักเรียนแต่ละคน พร้อมแนะนำโค้ชทั้งหมดที่มี
โดยจะให้เปิดเข้าไปจองเวลานัดพบโค้ช ครั้งแรกควรจะนัดพบโค้ชที่ได้รับการ assign ส่วนครั้งต่อๆมาก็แล้วแต่ว่าจะ recruit ไป industry ไหนก็สามารถนัดพบตามความถนัดของโค้ชได้ ปรึกษาได้ล้านแปด ตั้งแต่ recruitment strategy ยัน compensation negotiation ช่วงแรกๆคือฮ้อตปรอทแรก แทบจะตบกันเข้าพบโค้ช ช่วงหลังๆคือ อืมมมม
ส่วนตัวเข้าพบโค้ชสองครั้ง สองคน ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาทั้งคู่ เอาเวลาไปคุยกับปีสองหรือเพื่อนที่มีประสบการณ์ตรงดีกว่าเยอะ ให้ 1/5 ดาว เพราะอย่างน้อยก็มีไว้ให้อุ่นใจ - Career Peers
คล้ายกับ Career Coach แต่เป็นนักเรียนปีสองที่ผ่านการสมัครงานและฝึกงานมาแล้ว จะสามารถช่วยเราได้ 5 เรื่องคือ resume review, cover letter review, pitch review, interview และ email outreach
เช่นเดียวกับ Coach จะมี email ส่งมาแนะนำตัว Career Peers ทุกคนว่าใครมี background ยังไง ถนัด industry ไหน ได้ฝึกงานที่ไหน
แล้วก็เปิดให้ไปจอง session กับ Peer เช่นกัน ได้ยินว่าทุก session ที่เราจองไป Career Peers จะได้เงินด้วยนะ
จากประสบการณ์การไป session มา 5 ครั้งกับ Peer 2 คน คิดว่าค่อนข้างมีประโยชน์มากๆเลยทีเดียว ให้ 3.5/5 ดาวเลย - CMC Library
อันนี้คือเจ๋งจริง Kellogg ทุ่มเงินไปเยอะ มี insight ของบริษัทต่างๆ list ของ alumni ที่ไปทำงานที่บริษัทต่างๆ (กรณีใช้ networking) หนังสือให้ยืมอ่าน ถ้าได้สัมภาษณ์กับบริษัทแปลกๆที่มีค่อยมีข้อมูลก็เข้าไปถาม Libraian ให้แนะนำได้ มีทั้งหน้าเว็บและออฟฟิศอยู่ที่โรงเรียน อารมณ์ถ้าหาอะไรไม่เจอก็เข้าไปถาม ยังคิดว่าถ้าได้ใช้เยอะกว่านี้อาจจะทำให้ชีวิตดีขึ้นก็ได้ อันนี้เอาไปเลย 4/5 ดาว
- Mock Interviews
เป็นการซ้อม interview ที่ CMC จัดให้โดยจ้างมือโปรมาแนะนำ (คือแก่มาก รู้เลยว่ากรำประสบการณ์) มีทั้งซ้อมแบบ behavioral และซ้อมแบบ consulting case (เดี๋ยวจะอธิบายรายละเอียดต่อไป) กฎคือต้องแต่งตัวเหมือนไป interview จริงๆ (เอาจริง interview จริงกุยังไม่ใส่สูทจัดเต็มขนาดนี้เลย) ถ้า no show จะถูกปรับ $75 แล้ววันนั้นเจือก -18c ด้วยไง เวลาใส่เสื้อทำงานกับโค้ชที่ดูดีหน่อยมันจะไม่ค่อยอุ่นเท่าไหร่ ไม่ไปก็ไม่ได้เดี๋ยวโดนปรับ ขณะ interview ก็จะอัด video ไว้ แล้วย้อนดูพร้อมวิเคราะห์กันใน session เลย พร้อมกับส่ง video มาให้ดูเล่น เผื่อแก้ไขปรับปรุง ถามจริงๆคือไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรมากกับฉัน ให้ 1/5 ดาวพอ
อัดมุมเงยทำไมเนี่ยหน้าอ้วนกลมเชียว
- CMC Workshop
เยอะมาก หัวข้อหลากหลาย สร้างมาเพื่อ recruiting โดยเฉพาะ แรกๆก็เข้าหมด แพ็กแซนวิชไปกินทุกวันจะได้กินง่ายๆฟังพูดจดไปด้วย (จริงๆมีอัดไว้เผื่อใครไม่ว่างไปดูเพราะกิจกรรมหลายอย่างมักจะจัดช่วงกลางวันพร้อมกัน) หลังๆปลง ซ้อม interview อยู่บ้านดีกว่า อันนี้ให้ 3/5 ดาว เนื้อหามีอย่างเจ๋งบ้างอย่างป่วยบ้างสลับกันไป แต่หลายๆอย่างก็เรียนรู้มาจาก Workshop นี่แหละ
Career Club
จะเป็น club ของอาชีพ industry ต่างๆที่ run โดยนักเรียน ที่ดังๆก็จะมี Consulting Club สำหรับคนจะเข้า consulting, Marketing Club, Social Impact Club, Kellogg Tech Club (K-Tech) ฯลฯ ฉันอยู่ K-Tech เพราะจะ recruit เข้า Tech industry resouce ที่พูดถึงจะมาจาก club นี้เป็นหลัก แต่ club อื่นๆก็มีไม่ต่างกันมาก
- Interview Prep Group (IPG)
ไฮไลท์ของ recruitment resource ที่คนพูดถึงและถวิลหา เป็นกลุ่มที่ประกอบด้วยปีสอง 2 คนเป็น leader ของการเตรียมตัว interview และปีหนึ่งอีก 6 คน เลือกได้แค่กลุ่มเดียวเท่านั้น เช่น ถ้าอยากจะสมัครงานทั้งด้าน consulting และด้าน tech ไปพร้อมๆกันก็จะเลือกได้แค่กลุ่มเดียว ที่เหลือไปถามเพื่อนเอา ประสบการณ์ของแต่ละคนค่อนข้างหลากหลาย ขึ้นกับจะได้ใครเป็น IPG leader ของฉันค่อนข้างโชคดี leader ค่อนข้างเก่งและเอาใจใส่ มี session 4 ครั้ง ในเดือน November ครั้งล่ะ 1.5 ชั่วโมง และสามารถนัด mock interview ตัวต่อตัวได้ สิ่งที่เตรียมกันใน IPG ก็จะหนักไปที่ resume, pitch และ behavioral stories แตะๆดมๆ case เล็กน้อย
มี Slack Channel (Kellogg ใช้ Slack เป็นเครื่องมือสื่อสารกันภายในโรงเรียน) ของกลุ่ม IPG โดยเฉพาะที่ leader แชร์ข้อมูลต่างๆ
อันนี้ให้4.5/5ดาวเลยเป็นการจุดตั้งต้นการหางานที่ดีมากๆ - Recruiting Guide
ดีงามมากจริงๆ เป็น Guide ว่าแต่ละเดือนต้องทำอะไรจบ รวบรวมคำถาม interview จริงที่รุ่นก่อนๆโดนถามแยกตามบริษัทและ role แชร์ไม่ได้อ่ะ เป็นความลับ ถ้าอยากได้ต้องมาเรียน Kellogg อย่างเดียวเลย
เอาไปเลย5/5ดาวดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว - K-Tech Workshop
พวก club ก็จัด workshop เหมือนกัน เยอะด้วย (ถึงบอกว่าไม่แปลกที่ CMC กับ club จัดเวลาทับกัน แล้วคนส่วนใหญ่ก็เลือกไปของ club) ต้องรีบลงทะเบียน รีบไปก่อนเวลา ไม่งั้นที่เต็ม ยืนฟังเอาชั่วโมงนึง ที่มีประโยชน์มากๆก็เช่น Alumni Panel คือให้คนที่ไปฝึกงานที่บริษัทต่างๆมาแชร์ประสบการณ์ฝึกงาน สมัครงาน สัมภาษณ์ networking พอเห็นหน้าค่าตากันก็จดๆชื่อไว้แล้วไปนัดพบต่างหากได้ (เค้าจะยอมคุยด้วยหรือเปล่าก็อีกเรื่องนึง บางคนก็ไม่ค่อยอยากจะคุยเท่าไหร่)
4/5 ดาว ส่วนใหญ่จะมีประโยชน์กับชีวิตและได้รู้อะไรใหม่ๆมากมาย
เนื่องจากใน workshop และ company presentation ส่วนใหญ่ไม่อนุญาตและไม่ควรใช้คอม (เพราะจะดูไม่ดี ไม่ตั้งใจฟัง) สิ่งที่ต้องมีในช่วงนี้คือสมุดจดดีๆ 1 เล่ม
โอเค หลังจากที่เกริ่นเรื่อง resource ไปแล้วกลับมาเข้าเรื่องหลักของเรากัน หางานที่อเมริกาต้องทำอะไรบ้างหรอ ไม่ยากเลย 12 task เท่านั้นเอง…
1. Recruiting Strategy
Duration: Sep (แต่ให้ดีที่สุดควรคิดมาจากบ้าน ฉันไม่ได้คิดมาไงเลยมาลำบากคิดที่นี่อีก)
เลือก 3 อย่าง คือ
- Industry หลักๆก็จะมี Banking, Consulting, Tech, Social Impact, Marketing, Start-up, Venture Capital บางคนจะเลือก 2 Industry ควบเลยก็ได้ แต่ต้องยอมตัดเรื่องอื่นๆของชีวิตออกไป เช่น เรื่องเรียน เรื่อง social เป็นต้น ที่ฉันอยากทำ Tech internship เพราะว่าฉันทำ Consulting มาตลอดชีวิต (ชีวิตการทำงานนะ ไม่ใช่เกิดมาแล้วเป็น consult เลย) ชอบตัวงาน แต่ก็ทำงานหนักมาก เข้าโรงพยาบาลจนแทบจะเป็นญาติกับหมอ เลยอยากลองชีวิตแนว Tech ดูบ้าง เผื่อค้นพบตัวเองในวัย 30 ฮือออ
Timeline และความต้องการของการ recruit แต่ละ industry ก็ต่างกัน เอาหลักๆ Industry ที่มีคน recruit เยอะๆ ได้แก่- Banking มาก่อนจบก่อน ยังไม่เปิดเทอมก็ต้องเริ่ม networking กันแล้ว แล้วการ network ก็สำคัญมากๆ เวลาไป event ก็ต้องใส่สูทผูกไทเต็มยศตลอดเวลา การ recruit มี pattern ชัดเจน process ทุกอย่างจบภายในสิ้นปี
- Consulting ตามมาติดๆ เน้น networking ในกรณีอยากทำ consulting ที่อเมริกา เห็นเพื่อนไป event กันจนมึน (ส่วนถ้า recruit กลับไทย ไม่ต้อง network มาก ยังไงโอกาสได้สัมภาษณ์ค่อนข้างสูง แต่การแข่งขันก็สูงมากๆเช่นกัน) มี recruiting pattern ที่ชัดเจน process ทุกอย่างจบภายในเดือนมกราคม
- Tech process ยืดยาวไปจนถึงปลาย May อยากจะเรียกสัมภาษณ์ตอนไหนก็เรียก อยากจะ reject หรือให้ offer ตอนไหนก็ได้ อะไรแม่มก็ไม่แน่นอนซักอย่าง ต้อง research เป็นบริษัทๆไป เช่น Amazon ไม่ต้อง network ไม่มีผล Google ต้องมีคน reference ถึงจะได้สัมภาษณ์ (ฉันไม่มีคน ref ก็ได้สัมภาษณ์) Apple ต้อง network หนักๆ ถึงจะได้สัม (ฉันไม่เน็ตเวิร์กก็ได้สัมภาษณ์) Microsoft กับ Zillow ฉัน network เจอหน้า company representative จนเบื่อก็ไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์ ยังมีอีกมากมายที่ network จนสายน้ำลายแห้งก็ไม่ได้เรียกสัมภาษณ์ อะไรของมันฟระ
คำถามกับแนวทางสัมภาษณ์ก็ต้องไปสืบมาอีก บางที่ถามแต่ case บางที่ถามแต่ behavioral questions บางที่หยิบ resume ขึ้นมานั่งไล่ บางที่มี 2 รอบ 3 รอบ 4 รอบ บริษัทเดียวกันตำแหน่งเดียวกันยังถามไม่เหมือนกัน ปวดกบาล ใครเอามันไป standardize ที (โรค consult เก่ากำเริบ)
- Role พอเลือก Industry ได้แล้ว ลำดับต่อไปก็คือการเลือกตำแหน่งที่จะสมัคร ถ้าเป็นของ Consulting มีตำแหน่งเดียวไม่ต้องเลือก ส่วน Tech มีอยู่ประมาณล้านตำแหน่งได้ แต่ตำแหน่งหลักๆก็จะมี
- Product Manager (PM) ทำเกี่ยวกับ product ดูตั้งแต่การดีไซน์ไปจนถึง launch product ออกมาสู่สังคม เป็นตำแหน่งที่ป๊อปปูลาร์คนอยากทำมากที่สุด ก็เลยแข่งขันสูงเช่นเดียวกัน ขอบเขตการทำงานของ PM ของแต่ละบริษัทก็จะไม่เหมือนกัน (แต่ต่างกันไม่ค่อยมากหรอก) ต้องไปถามคนที่เค้าเคยทำมากันอีกที
- Project/Program Manager ทำเกี่ยวกับ business process แล้วแต่บริษัทเลยว่านิยามของตำแหน่งนี้คืออะไร บางบริษัทเช่น Microsoft ก็เรียก Product Manager เป็น Program Manager อาศัย networking ถามๆเอาว่าตำแหน่งนี้มันทำอะไรบ้าง
- Product Marketing Manager (PMM) ทำ marketing ของ product นั้นๆ โดยทำงานคู่กับ PM เป็นตำแหน่งที่คนอยากทำไม่แพ้กัน หลักๆเพราะ Kellogg ดังด้าน marketing เลยมีคนที่ถนัดด้านนี้มาเรียนเยอะ เวลาจะเปลี่ยนสายมาเป็น Tech ก็เลือก role นี้เป็นส่วนใหญ่
- Strategy เป็นอารมณ์ทำ consulting ใน Tech ส่วนใหญ่คนที่ recruit ควบ Tech/Consulting มักจะสมัครตำแหน่งนี้เพราะเตรียม resume กับ interview ใกล้ๆกัน
- อื่นๆ เช่น Operations, Finance (ฺคนควบ Tech/Banking ก็จะมาทางนี้), Analytics, Sales & Marketing หรือ role แล้วแต่บริษัทจะตั้งขึ้นมาเลย
- Locationแบ่งเป็น3ทางเลือกหลักๆคือ
- ประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่ประเทศบ้านเกิดหรืออเมริกา ต้องเตรียมเหตุผลดีๆให้เค้าเชื่อว่าเราอยากไป full-time ที่นั่น
- ประเทศบ้านเกิด สู้กันระหว่างเด็ก MBA ไทยที่เก่งๆด้วยกัน แต่ไม่ต้องกังวลมากเรื่องภาษาและ culture ที่แตกต่าง
- อเมริกา ต้อง networking มากกว่า ยากกว่าเพราะเรื่องภาษา culture working visa คือถ้าเค้าจะเลือกระหว่างคนอเมริกันกับคนชาติอื่นที่มีความสามารถเท่าๆกันหรือต่างกันไม่มาก ก็ต้องเลือกคนที่มันภาษาดี เข้าใจกัน ไม่ต้องมาเสียเงินเสียเวลาทำ working visa ให้ ตรงนี้ Industry มีผลอยู่ดังนี้
- Banking ไม่มีข้อมูลจริงๆ รู้แต่ว่าเนื่องจากไม่ค่อยมีคน focus ด้าน banking มากที่ Kellogg (20 คนจาก 450 ชีวิต) ต่างจาก Booth หรือ Wharton ที่เด็กค่อนข้างเน้นไปทางนี้ เลยกลายเป็นว่า resource ทุกอย่างใช้กันแบบเหลือเฟือ คู่แข่งที่มาจากโรงเรียนเดียวกันก็น้อย ได้ยินว่า 19/20 ที่ได้ offer
- Consulting ที่อเมริกาค่อนข้างเปิดกว้างกับ international student อย่างน้อยคือสมัครได้แทบทุกบริษัทแต่จะต้องทุ่มพลังในการ networking ให้มากซักหน่อย
- Tech คงต้องทำใจไว้ให้มากเพราะบริษัทที่ international student สมัครได้มีค่อนข้างจำกัด คือประมาณ 20-30% ของบริษัทที่เพื่อนฝรั่งสมัครได้ อัตราการได้ interview ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฝรั่งได้ 3-5 interview ต่ออาทิตย์ ส่วนเราได้ 1-2 interview ต่อเดือน ถ้าจะมาทางนี้ต้องทำใจและเข้มแข็ง สตร็องงงง (ฮือออออออออ)
พิจารณาอีก 2 ด้าน
Pivot (คือเปลี่ยนจากงานที่เคยทำอยู่) เชื่อว่าคนมาเรียน MBA อยากหาโอกาสลองทำอะไรใหม่ๆ หรือ pivot ไปทำงานด้านอื่นๆกันทั้งนั้น ต้องถามตัวเองว่าเราอยากลองทำอะไร และสามารถ leverage skills อะไรจาก background ตัวเองได้บ้าง (คนที่ทำงานมาเยอะเลยค่อนข้างได้เปรียบ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเค้าถึง require ให้มีประสบการณ์อย่างน้อย 3 ปีก่อนสมัคร MBA) ถ้าจะ pivot ไม่ควรจะ pivot เยอะกว่า 2 ด้าน เช่น ถ้าเคยเป็น consult มาแล้วอยากทำงานที่อเมริกา (pivot ด้าน location) ง่ายสุดคือทำ Consulting เหมือนเดิม ยากขึ้นมาคือทำ strategy role ใน Industry อื่นเช่น Tech ยากที่สุดคือทำ role อื่นๆของ Industry อื่น (ซึ่งฉันเลือกทางนี้ เพื่ออออออออออออออ คือตอนแรกคิดไม่ได้อย่างนี้ไง)
เจาะจง vs. หว่านแห strategy คือจำนวน Industry/Role ที่เราจะเลือกไป บางคน recruit หลาย Industry แต่ role ใกล้เคียงกัน เป็นไปได้ แค่ต้อง aware ว่า timeline มันต่างกัน เช่น Consulting/Strategy ใน Tech เป็นไปได้เกือบ 90% ว่า Consulting จะจบก่อนที่ Tech จะเรียกสัมภาษณ์ด้วยซ้ำ และเวลาบริษัทให้ offer เค้าจะมี timeline ให้ตัดสินใจและเวลามักจะหมดก่อนผลจาก Tech จะออก ส่วนมากเลยไปลงเอยกันที่ Consulting ซะส่วนใหญ่แม้จะอยากทำ Tech ก็ตาม หรือบางทีเราดันไปใช้พลัง recruit ในสิ่งที่ไม่อยากได้ซะหมด พอมาถึงสิ่งที่อยากได้จริงๆเลยทำให้ไม่เต็มที่ การหว่านแหอีกแบบคือเลือก Industry เป็น Tech แต่สมัครมันทุก Role (ฉันเอง) อันนี้ก็จะลำบากตอนซ้อม interview (คือต้องคิด + ท่องหลาย script ว่าทำไมอยากทำ role นั้น skill ที่มีจะ match กับ role นั้นๆยังไง) กับหาข้อมูลความรู้ด้าน technical เกี่ยวกับ role นั้นๆ เช่น PM ก็ต้องมีความรู้ด้าน design และ update เกี่ยวกับเทคโนโลยีค่อนข้างเยอะ Supply Chain Management ก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ supply chain การคำนวณ demand/supply ต่างๆ เป็นต้น
ใน part ต่อๆไปจะเน้นไปที่ประสบการณ์การสมัครงานใน Tech Industry ของฉัน โดยจะไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Industry อื่นๆค่ะ (เพราะไม่ได้สมัครนั่นเอง)
2. Resume
Duration: Mid Sep – Mid Oct
อ้าวก็ง่ายๆ เอา resume ที่สมัคร MBA สมัครได้เลยสิ โหย ฝันค้างเลย ไอเจ้า mba resume ที่แก้มาเป็นร้อยๆครั้งนั่นอ่ะ เอามาฉีกแล้วโยนทิ้งทะเลสาบข้างโรงเรียนได้เลย โละใหม่หมด ทางโรงเรียนจะมี format ให้ แล้วเราก็ทำ resume ตาม Industry + role ที่เลือกไว้ ส่วนตัวฉันว่า resume นี่แหละ สำคัญที่สุดที่จะทำให้ได้สัมภาษณ์ ซึ่งจะนำไปสู่การได้งาน ดังนั้นถึงจะแก้ไปล้านรอบก็ต้องยอมให้ได้สิ่งที่ perfect และเหมาะสมที่สุด คนที่จะสมัครหลาย Industry หลาย role อาจจะต้องมีหลาย resume tailor ให้เข้ากับความต้องการของ role นั้นๆ
หลักการเขียน resume ที่ได้ร่ำเรียนมาจากปีสองคือ
- ประโยคแรก: สรุปมา 1 ประโยคสั้นๆว่าโปรเจค/งานนั้นทำอะไร จบด้วยเครื่องหมาย ‘;’
- ต่อๆมาก: แจกแจง task ในโปรเจค/งาน นั้นๆ จบด้วยเครื่องหมาย ‘,’
- ประโยคสุดท้าย: ผลที่ได้ โดยให้ใช้ Ving ขึ้นนำ
ป.ล. ทุกอย่างอยู่ใน past tense หนึ่ง bullet ไม่ควรเกิน 2 บรรทัด และ quantify เป็นตัวเลขให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น
“Executed database consolidation from 14 databases into 1 for largest Japanese manufacturer; analyzed cost inefficiencies, designed new features, and collaborated with client’s developers, cutting cost by 12% for client”
อันนี้ขึ้นอยู่กับ role มันจะมี buzz words ที่ควรใส่เข้าไป เพื่อโชว์ว่าเรามี skills ที่ role นั้นๆต้องการ ประมาณว่ากุเคยทำมาแล้วนะเฟ้ย เช่น ถ้าจะสมัคร PM ควรจะมีคำว่า analyzed date, interviewed customers, designed features, developed solutions เป็นต้น
อื่นๆที่ควรใส่เข้าไปถ้ามี เช่น scholarship จากโรงเรียน, คะแนน GMAT ถ้าได้ 760 ขึ้นไป, STEM major (แสดงว่ามีสิทธิ์ทำงานต่ออีก 3 ปีโดยบริษัทไม่ต้อง sponsor visa), technical skills ทั้งหมด เช่น เขียนโปรแกรมภาษาอะไรได้บ้าง (ต้องเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ที่เรียนต่อ MBA ไม่ค่อยมี technical background ถ้าเราเรียนคอมเรียนวิศวะมาก็จะได้เปรียบมากขึ้น)
Resource: ฉัน reference หลายที่ อ่านจากหนังสือเองบ้าง (เดี๋ยวจะแนะนำหนังสือสำหรับคนอยากทำ PM/Tech) หาใน CMC website/Library เข้าไปดู resume ของเพื่อนๆ/ปีสองที่ CMC รวบรวมไว้ (CMC จะ upload resume ของนักเรียกทุกคนขึ้นระบบไว้สำหรับบริษัทต่างๆมาดู นักเรียนก็มีสิทธิ์เข้าไปดูของเพื่อนได้) แต่ที่มีค่ามากที่สุดคือ IPG Leader และ Career Peer นี่แหละที่นั่งดูนั่งแก้ resume ของฉันให้เป็นชั่วโมงเลย ซาบซึ้งใจจริงๆ
3. Cover Letter
ที่ไทยไม่มีสิ่งนี้ แต่ที่อเมริกาคือเป็นธรรมเนียมเลยว่า 90% คือต้องส่ง cover letter คู่กับ resume เวลาสมัครงาน สำคัญหรือไม่สำคัญขึ้นอยู่กับบริษัท เช่น Microsoft ให้ความสำคัญกับ cover letter มากๆ แต่บริษัทอื่นอาจจะไม่ เอาไว้ใช้เป็นตัวกรองว่าผู้สมัครมีความตั้งใจจริงที่จะสมัครหรือไม่ ไม่ใช่สักแต่กดส่ง resume มาเพิ่มภาระให้ HR แต่บางบริษัทและบาง role เช่น Uber เค้ารู้อยู่แล้วว่ามีคนอยากเข้าบริษัทเค้าและขี้เกียจมานั่งอ่าน cover letter ตอนที่มา company presentation ก็จะบอกเลยว่าไม่ต้องส่ง cover letter มา แบบนี้ก็มี
ใน cover letter มีหลักๆ 5 ส่วน
- จ่าหัว: ชื่อที่อยู่ของคนที่เขียนถึง ส่วนนี้จะค่อนข้างยากถ้าเราไม่ได้ networking มาก่อน หรือบริษัทไม่ได้ให้รายละเอียดมาก เพราะเราไม่รู้ว่าต้องเขียนถึงใคร ใครคือ HR ที่รับผิดชอบ MBA recruiting ของบริษัทนี้
- Paragraph#1: แนะนำตัวพร้อมบอกว่าจะสมัคร role ไหน บริษัทอะไร
- Paragraph#2: Why Company? ทำไมถึงอยากทำบริษัทนี้ ถ้าเคยไปเยี่ยมที่บริษัทนี้มาก็ใส่เข้าไปด้วยก็ดี part นี้เป็น part ที่ต้องเปลี่ยนเวลาสมัครอีกบริษัทหนึ่ง ส่วน part อื่นแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนอะไร
- Paragraph#3: โชว์ skills ที่ fit กับ role ที่เราสมัคร ปกติก็ list ออกมาเป็น bullet ฉันมีประมาณ 6 bullet หยิบเอามาใส่ 3-4 bullet แล้วแต่ว่าสมัครตำแหน่งไหน บริษัทอะไร เช่น Tesla ก็พยายามหาอะไรที่เกี่ยวกับ automobile industry เป็นต้น
- Paragraph#4: ปิดท้ายร่ำลากันเล็กน้อย อาจจะ mention ถึงคนที่เราคุยด้วยที่อยู่ทีมนั้นบริษัทนั้น แสดงพลังการ networking กันไป
Resource: คล้ายๆ resume คือเข้าไปหาอ่านใน CMC website/Library ขอตัวอย่างของปีสอง แต่ได้ Career Peer ช่วยตรวจช่วยแก้ cover letter
4. Company Presentation (Info Session)
Duration: Oct – Nov
ช่วงเดือน Oct – Nov เป็นช่วงที่แต่ละบริษัทตบเท้ากันเข้ามา present กันแทบทุกวัน คนที่ควบ 2 Industry จะค่อนข้างลำบากหน่อยเพราะ CMC จะระวังแค่ให้ session ใน Industry เดียวกันไม่ชนกัน (เพราะ assume ว่าทุกคนมุ่งทำแค่ Industry เดียว) ดังนั้นอาจเจอเหตุการณ์ที่ Google มาพร้อมกับ McKensey ก็ต้องเลือกเข้าอันใดอันหนึ่งแล้วที่เหลือไปถามเพื่อนเอา Kellogg ถือว่าเป็นโรงเรียนที่บริษัทใหญ่ๆของ Tech ให้ความสำคัญและเข้ามาหานักเรียนกันถึงที่โรงเรียน ที่ฉันได้มีโอกาสเข้าไปนั่งฟังก็ เช่น Uber, Google, Apple, Amazon, Salesforce, Dell, Cisco และบริษัทเล็กๆอีกประปราย (จริงๆ Facebook ก็มาแต่เค้าไม่รับ international students เลยไม่ได้เข้าไปฟัง)
ใน presentation ก็จะมีการแนะนำ company, ตำแหน่งที่ recruit, timeline ของการ recruit (ซึ่งไม่ค่อยตรงกับความจริง), และมีให้ Kellogg Alumni ที่ทำงานอยู่ที่นั่นมาพูดประสบการณ์ ตอนนี้คือได้จังหวะจดชื่อเพื่อ networking ในภายภาคหน้า
ใน company presentation บริษัทต่างๆก็จะถือโอกาสแจก swag (อะไรก็ตามที่สื่อถึงบริษัทตัวเอง) เป็นของแทนใจ เช่น Google แจกตุ๊กตา Android มา น้องจุ๊กเพนกวินของฉันเลยได้เพื่อนใหม่เลย
Resource: ส่วนใหญ่จัดโดย CMC ประกาศให้รู้กันถ้วนหน้า แต่บางทีก็จัดโดย club บ้าง อันนี้ต้องหูตากว้างไกล เช็ค portal ของโรงเรียนบ่อยๆ จัดตารางชีวิตดีๆ
5. Target List, Networking, Application
Duration: Oct – May (following year)
Target List พอเริ่มรู้จักตัวบริษัทและตำแหน่งที่เค้า recruit มากขึ้น สิ่งถัดไปที่ต้องทำคือการทำ list ของบริษัทที่เราจะสมัคร/สมัครไปแล้ว ฉันกว่าจะได้งานคือสมัครไปทั้งสิ้น 40+ job (มีบ้างที่บริษัทซ้ำกัน) ตามรูปสีแดงคือส่งใบสมัครไปแล้วโดน reject สีดำคือได้สัมภาษณ์แล้วโดน reject สีขาวคือไม่มีอะไรตอบกลับมาทั้งสิ้น
Networking มีได้หลายรูปแบบ หลักๆที่ทำคือ
- coffee chat มีเป็นแบบทางการ คือบริษัทมาถึงที่โรงเรียนแล้ว CMC จะเป็นคน coordinate และปล่อย slot ออกมาให้นักเรียนแย่งกันกดจองใน CMC website หรือบริษัทเปิด slot ผ่าน club แล้วเราก็เดินทางไปหาเค้าที่บริษัท รูปแบบจะเป็นนักเรียน 2-3 คน ต่อ company representative 1 คน สลับกันถามคำถาม ต้องเตรียมคำถามและความรู้เกี่ยวกับบริษัทนั้นๆไป คำถามต้องแสดงที่ความฉลาดและรอบรู้เกี่ยวกับบริษัทนั้นๆ (ห้ามถามอะไรที่หาได้ใน website หรือ Google) task นี้จะว่าไม่ยากก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ง่าย ถึงจุดประสงค์หลักจะเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับบริษัทและ role ต่างๆที่เค้า recruit แต่อีกจุดประสงค์หนึ่งคืออยากให้ company representative จำเราได้ (ในแง่ดีๆด้วยนะ) เพื่อนบางคนที่ค่อนข้าง competitive จะแย่งพูดอยู่คนเดียวเพื่อ impress company representative ถ้าเจอแบบนั้นก็ทำใจกันไป ให้คิดซะว่า coffee chat เป็นส่วนน้อยมากของการ recruit ในกรณีของ Tech ส่วนตัวคิดว่าแทบจะไม่มีผลในการเรียกสัมภาษณ์ สิ่งที่ได้มาคือข้อมูลในการไปเขียน cover letter และเตรียมสัมภาษณ์มากกว่า ฉันได้ไป coffee chat ของ Google, Twitter, Via, Salesforce และ Bane (Consulting ซึ่งภายหลังตัดสินใจสมัครแค่ Tech) จริงๆ กด slot ของ Apple มาได้ แต่ไม่พร้อมเลยตัดสินใจไม่ไปแล้วยก slot ให้คนที่พร้อมดีกว่า
มีอีกรูปแบบหนึ่งคือการ coffee chat กับปีสองที่เคยไปทำ internship กับบริษัทนั้นๆมาแล้ว อันนี้ก็ติดต่อกันเองและไปนั่งคุยกันที่โรงเรียนแบบง่ายๆได้เลย บางทีเพื่อประหยัดเวลาปีสองก็พยายามนัดเพื่อนไปฟังกันทีเดียวหลายๆคน ปีสองจะ happy มาก - LinkedIn/call ฉัน subscribe LinkedIn Premium เดือนล่ะ $29.99 (แล้วให้ไปลองยกเลิกดูเผื่อได้ส่วนลด 50% สองเดือน) เพื่อสามารถ message ไปหา Kellogg Alumni ที่ทำงานอยู่บริษัทที่ฉันจะสมัครแล้วขอโทรคุย ก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง ประมาณ 10-20% ที่ตอบกลับมา แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี บริษัทที่ฉันติดต่อไปคุยก็เช่น Google, Amazon, LinkedIn(ซึ่งไม่มีใครตอบกลับเลย)
Application ถ้าเป็น on-campus (คือบริษัทมาสัมภาษณ์ถึงที่โรงเรียน) มี 4 รอบ โดยมีช่วงเวลาที่ชัดเจนแน่นอน จะเป็นการส่ง resume และ cover letter ผ่านทาง CMC portal ให้บริษัทได้เลือกสัมภาษณ์ (ของ Tech จะมี slot ค่อนข้างจำกัดคือ 10 interview ต่อ 1 role) ถ้าไม่โดนเลือกจะสามารถ bid interview slot ได้โดยมี 800 คะแนนให้นักเรียนแต่ละคนเลือก bid แต่ค่อนข้างยากที่จะได้ แม้จะลงเต็ม 800 คะแนนก็ตาม เพราะคน bid เป็นร้อย slot บางทีมีแค่ 1 เรื่องนี้ฉันเจอ surprise case คือมีเพื่อนชาวอเมริกัน bid ไปสัมภาษณ์ role หนึ่งแล้วได้ มา mock interview กับฉันแล้วได้ offer เฉยเลย ฉันอยู่ตอนเค้าได้รับโทรศัพท์ได้ offer ด้วย คือดีใจกับเค้ามาก
ถ้าเป็น off-campus (คือสมัครกับบริษัทเองโดยตรง) จะเป็นการส่ง resume และ cover letter ผ่านทาง website ของบริษัทและหรือ Kellogg Job Board (KJB) ที่บริษัทจะมา post หา candidate ไปสัมภาษณ์ อันนี้ free-style เลย งานมา post ได้เรื่อยแล้วก็สมัครได้เรื่อยๆเหมือนกัน จะเรียกโดนสัมภาษณ์หรือโดน reject หรือเงียบไปเลยก็มี
Resource: ข้อมูลส่วนใหญ่มาจาก CMC website และเพื่อนปีหนึ่งด้วยกันค่ะ
6. Career Trek
Duration: 25-26 Nov
เป็นกิจกรรมที่โรงเรียนจัดขึ้นแต่ run โดยนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ไปสัมผัสเยี่ยมชมบริษัทในดวงใจถึงที่และได้มีโอกาส networking กับ company representative อีกด้วย
โดยมีให้นักเรียนสมัครได้ทั้งเป็น Career Trek Leader คือคนติดต่อกับบริษัทเพื่อพาเพื่อนไปเยี่ยมชมนั่นเอง (ซึ่งหลายๆคนอยากเป็นเพราะมีข้ออ้างในการ interact กับ company representative มากกว่านักเรียนทั่วไป แต่สุดท้ายก็ไม่มีข้อได้เปรียบต่างจากนักเรียนปกติมากหรอก) และก็ลูกทัวร์ ซึ่งนักเรียนทุกคนสามารถยื่นขอ funding ได้ $400 ฉันสมัครทั้ง Career Trek Leader (Tech – SF) ทั้ง Funding ไม่ได้อะไรซักอย่าง แง่ว สุดท้ายฉันเลือกไป Multi-Industry Trek ที่ Seattle เพราะมีเพื่อนที่ฉันสนิทเป็น leader และชื่อของบริษัทส่วนใหญ่ก็น่าไปทั้งนั้น
7. Company Research
Duration: Dec – May (following year)
แบ่งเป็น 3 step
- Step 1 ตัดสินใจว่าจะสมัครดีหรือเปล่า เราจะทำงานอย่างมีความสุขหรือไม่ ชอบ product ของเค้าไหม เค้ามีตำแหน่งที่เราอยากทำไหม รับ international student ไหม (อันนี้สำคัญ) ส่วนใหญ่คือไป company presentation, career trek, coffee chat
- Step 2 ตัดสินใจแล้วว่าจะสมัครและต้องการให้ได้ interview invitation ต้องเขียน cover letter ให้ตรงกับ requirement ที่เค้ามองหา ตรงกับ culture ของบริษัท มีใส่ชื่อคนที่เราไปคุยได้ใน cover letter จะดีมาก บางที่ก็ต้องการ reference เช่น Google
- Step 3 ได้ interview invitation แล้วและต้องเตรียม interview คราวนี้คือขึ้นอยู่กับ role แต่หลักควรรู้ SWOT และ direction ของบริษัท product ทั้งหมด กลุ่มลูกค้า revenue profit competitor
Resource: CMC Library ช่วยได้มากจริงๆเรื่องนี้ เสิร์จ Google หาข่าว ดู Financial Statement 10K (อันนี้ไม่เคยดูแต่เค้าบอกกันว่าช่วย) ดู review product ตาม community ต่างๆเป็นต้น
8. Pitch
Duration: Nov
สิ่งที่ต้องมี เอาไว้ใช้ใน coffee chat และ interview ในหัวคำถามเปิด ‘tell me about yourself’/’walk me through your resume’ ควรมีทั้งแบบ 30 วิ, 1 นาที และ 2 นาที ไว้ใช้ตามเวลาและโอกาส
framework ง่ายๆที่ใช้สร้าง pitch ให้เริ่มจาก undergraduate มาเลย เรียน major อะไร ทำไมเลือกเรียนอันนี้ ได้ skills อะไรจากการเรียน สู่เหตุผลในการทำงานที่แรก อธิบายเบาๆว่าทำอะไร ได้ skills อะไรมาบ้าง ถ้ามีประสบการณ์แค่ที่เดียวก็เลือกโปรเจคที่เกี่ยวข้องขึ้นมาพูดได้ สู่เหตุผลการมาเรียน MBA ที่ Kellogg และ skills ที่ได้ ปิดท้ายด้วยทำไมถึงอยากทำ intership ที่นี่ ตำแหน่งนี้
Resource: IPG ช่วยฉันมากๆในการ finalize pitch ที่เหลือคือการพูดให้เพื่อนฟังว่าโอเคไหม และก็ปรับแก้ไปตามสถานการณ์และบริษัท/ตำแหน่งที่สมัคร
9. Behavioral Stories
คำถามสัมภาษณ์รูปแบบนึง interviewer จะเริ่มต้นคำถามว่า Tell me a time when… แบ่งเป็นหัวข้อดังนี้
- Teamwork เช่น ‘Tell me a time when you cooperated with others’, ‘Have you worked in a cross-cultural setting? If so, can you talk about the challenges you faced and how you overcame them’
- Leadership เช่น ‘Tell me a time when you had to influence someone without direct authority’, ‘Tell me a time when you led a team through a difficult situation’
- Conflict เช่น ‘Tell me how you dealt with conflict between teams’, ‘Tell me a time when you dealt with difficult team member’
- Success เช่น ‘What is your greatest achievement?’, ‘What did you do at XX company that made you stand out among peers?’
- Challenge/Problem Solving เช่น ‘Tell me how you handled a complicated situation/most challenaging project’, ‘Tell me a time when you dealt with ambiguity’
- Failture เช่น ‘Tell me a time when you failed and how you responded’, ‘Tell me about a setback’
- Self Awareness เช่น Strengths/Weaknesses, ‘Tell me about your perfect day at work’
ซึ่งเวลาเล่าควรจะใช้เวลาไม่เกินเรื่องล่ะ 2.5 นาที โดยใช้ STAR(L) metric แบ่งเป็น
- Situation & Task: เกิดอะไรขึ้น Goal คืออะไร Challenge คืออะไร (0.5 นาที)
- Action: ทำอะไรบ้าง 1,2,3 (1.5 นาที)
- Result & Learning: ผลลัพธ์กับบทเรียนที่ได้(ถ้ามี) ในส่วนของผลลัพธ์ควรจะ quantify ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ (0.5 นาที)
ทั้งนี้ เวลาเลือกเรื่องมาเล่า ควรจะให้สอดคล้องกับคำถามและ resume ที่ส่งไป รวมถึงโชว์ skills ที่ต้องการในตำแหน่งนั้นๆด้วย
10. Fit Questions
ถามเพื่อประเมินว่าเรา fit กับ culture ของทีมหรือของบริษัทหรือเปล่า มี passion ในบริษัทและงานที่ทำหรือไม่ คำถามค่อนข้างหลากหลาย แต่จะออกไปในแนวทางคล้ายๆกัน เช่น
- Why Company? Why role?
- What is your ideal work environment?
- What do you want to do/your passion at work? What is your career plan?
- What is your favorite/least favorite product?
จะตอบคำถามพวกนี้ได้ไม่ยาก ต้องทำ company research, networking เยอะๆ จนรู้ว่า culture เป็นยังไง เค้าอยากเห็นอะไรในตัวเรา
11. Case
สำหรับ Tech Case จะแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
- Estimation Questions: คล้ายกับของ Consulting แต่คำถามจะออกแนว tech หน่อยๆ เช่น ‘How many self-driving cars does it take to map the entire continental U.S. in one year?’, ‘Estimate cost for Youtube to store all the videos in 2019’
นอกจากจะต้องฝึกวิธีคิดที่ quick, clear และ concise ควรจะจำพวกตัวเลขพื้นฐานไปได้บ้าง เช่น Population, Daily Active User, Revenue เป็นต้น ตัวอย่างข้างล่างคือ Fact Sheet ที่ทำไว้เพื่อสัมภาษณ์งานกับ Google
- Product Questions: รวมทุกอย่างตั้งแต่ design product, improve product และ favorite product ตัวอย่างคำถามเช่น ‘Design a product for a person moving to a new city’, ‘Design Google Ads to improve SME experience’ เป็นต้น
- Product Strategy: พวก market entry, new product launching, go-to-market strategy ตำอย่างคำถามเช่น ‘Should Google launch a service to compete with Amazon’s prime video?’, ‘Which product categories should Amazon consider delivering if deploying a new fleet? How would you measure success? and size the market’
- Analytics: คำถามเกี่ยวกับ metrics เช่น ‘What’s the best metrics in measuring google home product?’
ตัวอย่าง metrics ตาม growth funnel (AARM model)
ขอบคุณน้องไอซ์ที่สอน + mock เคสให้มา ณ ที่นี้
Resource: สำหรับคนจะ recruit PM ขอแนะนำหนังสือที่ต้อง (และควรอ่านมาตั้งแต่ก่อนเริ่มเรียน จะได้ไม่ต้องมาลำบากหาเวลาอ่านอย่างฉัน)
เว็บสำหรับสอนเคสโดยเฉพาะ (แนะนำโดยน้องไอซ์เจ้าเก่า) ชื่อ Exponent ไปซื้อ course online ได้ $99 คุ้มค่าอยู่ นอกจากจะเรียนกับ video แล้ว เรายังสามารถ access community ไปขอ mock interview (ผ่านโทรศัพท์) กับคนในนั้น (ซึ่งเป็นคนที่กำลังเตรียมสัมภาษณ์ PM เหมือนกัน)ได้ ฉันลองมาแล้วครั้งหนึ่ง เวิร์กอยู่
12. Mock Interview
Duration: Jan – Feb
ช่วยได้มากที่สุดคือการ mock interview กับเพื่อนปีหนึ่งหรือปีสอง(ที่ผ่านการสัมภาษณ์กับบริษัทนั้นๆมาก่อนจะดีมาก) เวลา mock กับปีหนึ่งด้วยกันเองก็คือผลัดกันทำตัวเป็น interviewer ถามคำถาม ส่วน mock กับปีสองก็ไปให้เค้าถามอย่างเดียว
ในระยะเวลา 2 เดือน mock ไปทั้งหมด 60 ครั้งกับคน 25 คน ตกประมาณ 7 ครั้ง/สัปดาห์ บางวันแทบจะเรียกได้ว่า back-to-back session ถามว่าแล้วมีเวลาเรียนมั้ย ก็ไปหน่อยโดดเป็นส่วนใหญ่อ่ะ ฮือออ
13. Interview
ฉันได้ interview invitation 9 ครั้งจาก 7 บริษัท role ก็แตกต่างกันไปตามแล้วแต่จะสมัครได้ ดังนี้
- ไทย: Tencent, Agoda
- ญี่ปุ่น: Rakuten
- บราซิล: Nubank
- อเมริกา: Apple, Google, Amazon
สมัครไป 40 ที่ ได้สัมภาษณ์ 9 ที่ conversion rate อยู่ที่ 20% ช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดินสิ้นดี นี่ยังไม่รวมว่าหลายๆบริษัทก็สมัครไม่ได้เพราะไม่มี US working visa ดังนั้นจงเข้มแข็งถ้าเห็นเพื่อนฝรั่งได้งานกันเร็ว
Tencent
- Application Process: สมัครผ่าน HR โดยตรง (มีคนรู้จักติดต่อให้) ไม่ต้อง submit cover letter
- Pre-Assessment: ไม่มี
- Interview: Skype แต่ไม่ต้องเปิด video/ ภาษาไทย/ ถามแค่ fit & behavioral
- Result: ได้ offer แต่ยังไม่มีโปรแกรมและ compensation สำหรับ MBA internship เลย turn down ไป
Agoda
- Process: สมัครผ่าน Kellogg Alumni ที่ทำงานอยู่ที่นั่น
- Pre-Assessment: แบบทดสอบด้านต่างๆ ใช้เวลาทำประมาณ 3.5 ชั่วโมง
- Interview: รอบแรก screening call กับ HR รอบต่อๆไปจะเป็นกับ manager
- Result: paused หลังจบรอบแรกเนื่องจากติด COVID-19
Rakuten
- Process: สมัครผ่าน Kellogg Job Board
- Pre-Assessment:ไม่มี
- Interview: รอบแรก screening call กับ HR รอบต่อๆไปจะเป็นกับ manager
- Result: reject ที่รอบแรก
Nubank
- Process: สมัครผ่านอีเมลที่บริษัทส่งหานักเรียนโดยตรง
- Pre-Assessment: ให้ข้อมูลมาแล้วเตรียม solutions ใส่สไลด์ไป present
- Interview: รอบแรก in-person interview ที่ Kellogg รอบต่อไปเป็น call
- Result: reject ที่รอบแรก
- Process: สมัครผ่านเว็บของบริษัท เค้าจะให้เลือก role ที่เราอยากทำ เพราะ PM ของ Google ค่อนข้าง competitive และสัมภาษณ์ยากกว่า role อื่นมากๆ เพราะถือว่าเป็นที่สุดของเหล่า PM ฉันเลยหลีกมาเลือก program manager แต่ Google ก็ดันเลือกให้ฉันสัมภาษณ์ PM เฉย เพราะมี engineering background ล้องห้าย
- Pre-Assessment: ไม่มี
- Interview: รอบแรกเป็น back-to-back call 2 session กับ PM session ละ 45 นาที ถาม case ล้วนๆ รอบสอง back-to-back call 2 session กับ engineer ถาม technical ล้วน
คำถามคือยากเชี่ยๆ ยากโคตร มีถาม Why Product Manager? What is Product Manager? คือกุสมัคร Program Manager ไหมเมิง ปวดใจ - Result: reject ที่รอบแรก ฮือ เศร้า เตรียมตัวตั้งนาน ตอน reject คือมีการโทรมา reject ด้วยนะ ส่งเมลมาก็ด้าย ไม่ต้องโทรมา ไม่รู้จะตอบไง
Amazon
- Process: สมัครผ่านเว็บของบริษัท เค้าจะเลือก role ที่เราอยากทำ แล้วก็ให้สัมภาษณ์ role นั้นจริงๆ ค่อยยังชั่ว
- Pre-Assessment: มีจำลอง scenario การทำงานจริงแล้วดูการตัดสินใจของเราว่าตรงกับ 14 leadership principle ของบริษัทหรือไม่
- Interview: เป็น video call 4 session back-to-back session ล่ะ 45 นาที ถามเป็น behavioral questions ล้วน ต้องเอา story มา map กับ 14 leadership principle ขนาดเตรียมไป 24 เรื่องยังต้องพูดซ้ำเป็นบางเรื่อง ออกมาจากสัมภาษณ์คือต้องกินยาแก้ปวดหัวอ่ะ
Amazon เป็นบริษัทที่จัดการ interview ได้ค่อนข้างไม่ดี ทุกคนโดนเลื่อน interview หมดของฉันเลื่อนจากวันที่ 10 Feb เป็น 5 Mar แล้ว call แรก interviewer ไม่ show-up ปล่อยให้ฉันนั่งงงๆอยู่คนเดียว ไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำอีกต่างหาก สุดท้ายเลื่อนแค่ session นั้นมาวันที่ 11 Mar (มีสอบ final วันที่ 14 Mar เลยปล่อยไปตามเวรตามกรรมที่ทำมา) ทรมานแท้
- Result: reject! ล้องห้าย เตรียมตัวหนักและนานมาก โดน reject คืองงและท้อไปเลย
Apple
- Process: เป็นบริษัทเดียวที่ฉันได้ on-campus ใน role Supply Chain Operations สัมภาษณ์ผ่าน facetime ที่โรงเรียน ส่วนอีกสอง role คืออยู่ดีๆ HR ก็ติดต่อมาถามว่าจะสัมภาษณ์ไหม โชคดีมากที่ตอนนั้นติด COVID-19 ทำให้ยกเลิกทุกทริปที่จะไป (ความจริงคือตอนนั้นต้องอยู่อินเดียแล้ว) เลยได้สัมภาษณ์อีก 2 role คือ Product Operations กับ Supply Demand Management แบบงงๆ
- Pre-Assessment: ไม่มี
- Interview:Appleถามหนักfitquestionsและbehavioralไม่ค่อยมีcase
- On-campus: Supply Chain Operations รอบแรกสัมภาษณ์ผ่าน facetime ที่โรงเรียน ถ้าผ่านรอบสองเค้าจะให้บินไปทำ super day (8 sessions back-to-back) ที่ Cupertino อันนี้ฉันตกตั้งแต่รอบแรก
- Off-campus: Product Operations สัมภาษณ์ 3 session session ล่ะ 30 นาที ผ่าน facetime (คือต้องมี Apple product ไม่ iPhone กับ iPad ถึงจะสัมภาษณ์ได้) คือฉันมีแค่ iPad เลยขลุกขลักเพราะ interviewer พยายาม facetime ผ่านเบอร์โทรศัพท์ (แล้วตอนนั้นไม่ได้ใส่เบอร์ใน Apple ID) แล้วถามว่าทำไมมันไม่เวิร์ค ไม่กล้าตอบว่าเพราะหนูใช้ Android ค่ะ เลยเป็น phone call ไป ของ Supply Demand Management คือเละที่สุดเท่าที่เคยสัมภาษณ์มา เค้าถามว่าจะคำนวณ Demand ของ Apple Watch series แรกทำไง ไม่รู้อ่ะ มั่วเลย ฮือออ
- Result: ได้ offer ของ Product Operations! โคตรโชคดี คือไม่อยากจะเชื่อว่าได้ offer ตอนเค้าโทรมายังนึกอยู่เลยว่าน่าจะโทรมา reject เพราะช่วงนี้โดน COVID-19 ด้วย compensation negotiation อะไรไม่ต่อรองแล้ว กด accept เลย แค่ตอนนี้ขอให้ไม่โดนยึด offer คืนก็พอใจแล้ว สาธุ
เรื่องราว recruitment ของฉันก็จบด้วยประการฉะนี้ เหนื่อยเนอะกว่าจะจบ (แค่อ่านยังเหนื่อยเลย) ไว้มาแชร์เรื่องสนุกๆบ้าง เช่น การเรียนที่ Kellogg (สนุกตรงไหนฟะ) post หน้านะจ้ะ
สุดยอดเลยเจน พลังงานเหลือล้นมาก อ่านแล้วมีกำลังใจและพลังตามไปด้วย เชื่อว่าหลายๆคนก็น่าจะได้แรงบรรดาลใจจากblogนี้เหมือนกัน
ขอบคุณนะ
ขอบคุณคะที่ยังติดตามอยู่ ขอเป็นกำลังใจให้สู้ๆในทุกอุปสรรคของชีวิตเหมือนกันคะ
Congrats na P’Jane
Your blog really helps me and give me the idea being as a consultant and TPY 🙂
I could say that half of my achievement to get those opportunities are from your blog 🙂
Still looking forward to see your sharing life na ka
Nuch,TPY46
Thank you ja. Glad that my blog helped you with those opportunities na.
อ่านแล้วเข้าใจว่าต้องใช้พลังมากมาย.ชื่นชมคะ ยินดีด้วยนะคะ.
ขอบคุณค่ะ
เก่งมากเลยพี่เจน ยินดีด้วยค่า
ขอบใจมากน้า
ดีมากๆ เลยค่ะ อ่านแล้วเติมพลังมากๆ ตั้งใจอยากเข้า Kellogg พอได้มาอ่าน blog ของพี่เจน อ่านแล้วมีประโยชน์มากๆ ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่ตั้งใจทำเพื่อน้องๆ รุ่นถัดไป อยากอ่านเรื่องการเรียนใน Kellogg บ้างค่ะ การใช้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง แล้วหลังจากที่ได้เรียนไป รู้สึกยังไงกับการเลือก Kellogg คะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ :):)
ได้เลยค่ะ ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องชีวิตการเรียนด้วยเหมือนกัน
เป็นประโยชน์มากครับ พอดีกำลังสมัคร Agoda เหมือนกัน อยากทราบว่า pre-assessment test เป็นของอะไรครับ เผื่อไปเตรียมตัวฝึกทำล่วงหน้า ขอบคุณครับ 😀