แปะลิ้งค์ให้กดไปดู EP อื่นๆได้ง่ายๆจ้า
EP1 Intro + บินถึง Chicago/Kellogg School of Management
EP3 Washington DC, Philadephia, Boston
EP4 Acadia National Park/Chicago
Day 2 (14/07) New York (1/3)
ออกจากอพาร์ทเม้นท์ไปเรียก Lyft ตอนตีสี่ ใช้เวลาประมาน 40 นาทีไปถึงสนามบิน ORD เพิ่งเคยลองใช้ Lyft แบบ shared มันจะถูกว่าแบบเหมาทั้งคันแบบปกติอยู่เกือบ 10$ ไปได้ 1-2 คน ถ้าไปสองคนก็กดว่ามีเพื่อนมาด้วย จะโดนบวกอีกประมาณ 3-4$ (10%)
ถึงสนามบินก็จัดการ check-in พร้อมซื้อกระเป๋าที่ตู้ kiosk ของสายการบิน delta ทันที สายการบินในประเทศของอเมริกาส่วนใหญ่ไม่ได้ให้โหลดกระเป๋าฟรี ค่าโหลดใบแรก 30$ และใบที่สองสามก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ เลยตกลงกับคุณสำลีว่าจะโหลดหนึ่งใบที่เหลือเป็น carry-on (แต่สุดท้ายใบ carry-on ก็มี complimentary service เช็คลงท้องเครื่องให้อยู่ดี)
Delta ที่นั่งกว้างขวางมาก (ประมาณ 1.5 เก้าอี้แอร์เอเชียได้) หลับมาตลอดทางสองชั่วโมงกว่าๆที่บินไปนิวยอร์ก ตื่นมาทันกัปตันขับเซิ้งรอบเกาะแมนฮัตตันรอบใหญ่เพื่อรอเครื่องบินลงจอด
ลงที่สนามบิน JFK และเรียก Lyft ต่อไปที่ Airbnb ที่จองไว้แถว New Jersey สิริรวมราคา 80$ (กรีดร้องงงงงว)
Accommodation (New York)
ใครกำลังจะจองที่พักที่ New Jersey ที่อยู่ใกล้ๆเกาะแมนฮัตตันเพราะเห็นว่ามันถูก ห้าม ห้าม ห้ามเด็ดขาดดดด ที่พักของฉันถ้าวัดระยะทางโดยใช้ Google Maps ห่างจากเกาะแมนฮัตตันนิดเดียวนะ แต่ประเด็นคือมันเป็นคนละเมืองไง ไม่ได้ใช้ transportation system ร่วมกัน ดังนั้นจะใช้บัตร MTA ที่ซื้อมาไม่ได้ (เดี๋ยวจะอธิบายรายละเอียดถัดไปจ้า) ต้องเสียเงิน 7$ ต่อคนเพื่อต่อ Bus ไปกลับ New York – New Jersey ทุกวัน แล้ว Bus ที่ว่ามันคือรถเมล์นรกสาย 8 ชัดๆ ชาติหนึ่งมาที คนต่อคิวรอเยอะไม่ค่อยมีที่นั่ง ขับรถกระชากจนไส้จะไหลลงมากอง คนขับรถแม่งก็โคตรโหด ด่าทีกุยังฟังไม่รู้เรื่องเลยรู้แต่ว่าต้องรีบทำอะไรซักอย่าง คนขายตั๋วแม่งก็กวนตีนอี๊ก ขาเข้า New York ตอนเช้าวันทำงานคือรถติดเป็นชั่วโมง สรุปจองแถวฝั่ง Brooklyn น่าจะดีกว่าเยอะ
วิวจากที่พัก แมนฮัตตันอยู่เพียงแม่น้ำกั้น
แต่ถ้าใครหลวมตัวไปแล้ว (สาธุ ขอให้ไม่มี) การไป New Jersey จะต้องไปต่อ Bus ที่ Port Authority Bus Terminal โดยหาซื้อตั๋วได้ที่นั่น แต่ถ้าขึ้นจากฝั่ง New Jersey เลยก็สามารถจ่ายเงินสดได้ แต่ต้องเตรียมให้พอดี 3.5$ ต่อเที่ยวนะจ้ะ
มาถึงข้อดีหนึ่งเดียวก็คือถูกมาก ในราคาต่อคืน 2,124 บาท เราก็มีห้องอุ่นๆ เตียงนุ่ม ให้พักใจในแต่ละวันพร้อมห้องน้ำในตัว
Transportation
ขอแนะนำให้ซื้อ MTA 7 days pass ในราคา 33$+1$(ค่าบัตร) โดยสามารถขึ้น subway + Bus ที่อยู่ในเมือง New York ได้แบบ unlimited (ใช่ subway ที่เหม็นๆนั่นแหละ ใช้เข้าไป) ขอเน้นย้ำว่าต้องจ่ายด้วยเงินสดเท่านั้น พอดีทริปนี้ใช้บัตร KTB Travel Card เป็นหลัก (เพราะเกือบทุกอย่างจ่ายได้ด้วยบัตรหมดแล้ว) ถึงกลับรีบควานหาเงินสดมาจ่ายเลย
Food/Drink/Public Toilet
ขอสารภาพว่าฉันไม่ใช่สายอาหาร คืออิ่มและถูกเป็นพอ ชีวิตเลยวนเวียนอยู่ที่ fast food chain เป็นหลัก สำหรับท่านที่มีวิถีการท่องเที่ยวเหมือนกันขอแนะนำร้าน McDonald’s บางสาขา ที่จะมีการเติมน้ำแบบ refill แล้วมันจะมีน้ำเปล่าให้เติมด้วย (ก็นั่นแหละ มองซ้ายมองขวาเอาขวดไปเติมเลย) น้ำเปล่าที่นี่แพงงง เพราะเค้าถือว่าดื่มจากก็อกได้
ห้องน้ำหายาก ส่วนใหญ่มีตามห้างใหญ่ๆหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ร้านอาหารนี่แทบไม่มี เจอตรงไหนให้เข้าไว้ก่อนและอย่าลืมเอาทิชชู่เปียกไปน้า
เนื่องจากดูวันผิดเสียเวลาไปวันหนึ่ง เลยต้องเอาที่เที่ยวไปโปะๆไว้วันที่เหลือ โชคดีที่ไปหน้าร้อน ช่วงกลางวันก็เลยนาน (นานจนเหนื่อยจะเป็นลม) เลยเที่ยวครบจบกระบวนความที่ตั้งใจไว้ มาดูแผนวันแรกกันเลยจ้า
Times Square
วันนี้จะเลือกไปกลุ่มกลางเมืองที่ค่อนข้างใกล้ที่พักก่อน โดยเริ่มจากจัตุรัสชื่อดัง Times Square ตั้ั้งชื่อตาม New York Times ที่เคยตั้งอยู่ที่ Times Tower สถานที่ใช้จัดงานปีใหม่(เห็นว่าถ้าจะเข้าร่วมงานที่นี่ต้องมานั่งรอถึง 15 ชั่วโมงก่อนจะจุดพลุขึ้นปีใหม่) ที่ที่คนเป็นล้านมารวมตัวกันเพื่อถ่าย selfie แถวนี้มีละครบรอดเวย์เยอะมาก แล้วก็แพงมากเช่นกัน
มีคนแต่งชุด cosplay เป็นตัวละครต่างๆ ไล่ตั้งแต่เทพีเสรีภาพ กัปตันอเมริกา เอลซ่า เปลือยและเพ๊นส์ตัวเอาก็มี ถ้าจะไปถ่ายรูปด้วยต้องให้ทิปนะ
แนะนำให้ขึ้นไปถ่ายรูปที่บันไดสีแดงๆที่เขียนว่า Tkts จะได้ภาพมุมสูงซักหน่อย
พวกเราไปจัดมาทั้งบรรยากาศแบบกลางวันและกลางคืนเลย
Grand Central Station
ติดอันดับสถานีรถไฟที่สวยที่สุดของโลก เคยเป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิ Men In Black, Madagascar, Sex in the city, The Avengers, Step Up 3
เห็นแล้วนึกถึงฉากเปิดตัวเซรีนาใน series เรื่อง Gossip Girls เลยคิดขึ้นมาได้ว่าเซรีนามันรวยไม่ใช่หรอทำไมนั่งรถไฟเข้ามาที่เกาะแมนฮัตตัน บินมาไม่สบายกว่าหรอ
มี Apple Store มาเปิดแบบขลังๆอยู่ในสถานี
ออกมาจาก Grand Central Station เห็นตึก Chrysler Building แว๊บๆ สวยมาก พยายามหามุมถ่ายแต่ก็ได้แค่นี้
แท็กซี่เหลืองของนิวยอร์กในตำนาน
Fifth Avenue
ไปต่อกันที่ถนนช็อปปิ้งของชาวนิวยอร์กซึ่งทอดยาวตั้งแต่ Rockefeller Center ไปถึง Central Park ประกอบด้วยช็อป Brand Name และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ จินตนาการให้หัวคือใส่ส้นสูงเดินเริ่ดๆช็อปปิ้งใช่มะ ตัดภาพกลับมาชีวิตจริงคือเดินใส่ผ้าใบลากเท้าหน้าโทรม Jetlag เบอร์สิบ
ช็อป Microsoft ก็มานะ
Trump Tower บ้านของ Donald Trump อยู่ 3 ชั้นบนสุด
มีพื้นที่ 3.41 ตารางกิโลเมตร ใช้เวลาก่อสร้างนาน 16 ปี (อู้วว นานมาก) อารมณ์สวนลุมแต่สเกลใหญ่กว่าเยอะ
ควรจะมาช่วงวันเสาร์-อาทิตย์เพราะสวนสาธารณะจะครึกครื้นมาก มีความ conflict ที่กลมกลืนที่เวลามองออกไปนอก park จะเห็นตึกใหม่ๆสูงๆเรียงรายอยู่เป็น background
เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก เขียวซะ
มีสวนสนุกขนาดย่อมอยู่ใน Park
เด็ดสุดคือ The Mall จะมีศิลปินมาเปิดหมวก ร้องเพลงบ้าง วาดรูปบ้าง เล่นดนตรีบ้าง
รูปข้างล่างคือมาเล่นกลองจังหวะอารมณ์ชนเผ่า มีพี่กันถอดเสื้อเต้นส่ายเอวอยู่ข้างหน้า โหย มันส์มากกกกกกกค่ะพี่ อย่าลืมทิปเค้าเยอะๆนะ
ปลายสุดของ The Mall จะเจอ Bethesda Fountain อยู่ในหนังเรื่อง Home Alone 2, Stuart Little 2, The Avenger (2012), กุมภาพันธ์ (หนังไทยที่ชาคริตเล่น)
ซูมชัดๆ
มีคนมาเล่นลูกโป่งยักษ์ให้ดูด้วย อยากเล่นกะเค้าต้องเสียสตางค์นะจ๊ะ
เดินวนไปวนมาจนเหนื่อย ตอนแรกว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Top of the Rock เพราะอยู่ไม่ไกลมาก แต่ยังเหลือเวลาอีกโขเลยตัดสินใจไปย่าน Brooklyn และดูพระอาทิตย์ตกที่นั่นแทน
Brooklyn Bridge
มีอายุพอๆกับเทพีเสรีภาพ (ประมาณ 150 ปี) เป็นสะพานแขวนแห่งแรกๆของโลก ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 16 ปี
สะพานมี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นทางรถยนต์ ชั้นบนเป็นทางเดินและทางจักรยาน (จักรยานขี่เร็วมาก ต้องระวังนะคะ) แต่ก่อนมีนั่งท่องเที่ยวนิยมนำกุญแจไปคล้องไว้ตามสะพาน ทางการกลัวเรื่องน้ำหนักสะพานโดยออกกฎห้าม แดดร้อนจนรู้สึกว่าไหม้เลย 555
Dumbo
เดิมเป็นย่านโกดังเก่าที่ห้างร้านทั้งหลายมาเอาสินค้ามาเก็บ จนเมื่อประมาณ 15 ปีก่อน ค่าใช้จ่ายในแมนฮัตตันเริ่มสูงขึ้นจนคนที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่นเริ่มมองหาที่อยู่ใหม่ไม่ไกลกัน ผู้คนจึงเริ่มอพยพกันมาอยู่ในบริเวณนี้ทำให้ทุกวันนี้ที่นี่กลายเป็นย่านศิลปะและร้านอาหารอร่อยๆไป ที่สำคัญตรงนี้ยังเป็นจุดที่เห็นเกาะแมนฮัตตัน สะพานบรู้คลินและสะพานแมนฮัตตันได้สวยที่สุด
คุณสำลีเรียกร้องอยากมาถ่ายรูปที่นี่มากๆ ถึงขนาดว่าไปหา GPS coordinator มาใส่ไว้ในแผนท่องเที่ยว
ตรงฐานสะพานนั่น ตึก Empire ไงล่ะะะ
การถ่ายไม่ยากเลย แค่ไปยืน/นั่งกลางถนนและต้องรีบอพยพเวลารถสวนมาเท่านั้น T.T
Brooklyn Bridge Park
ไปถ่ายพระอาทิตย์ตกกันที่นี่ เดินกันจนปวดขาปวดหลังกว่าจะหามุมได้ทันเวลาพระอาทิตย์ตกสองทุ่มครึ่ง (จงเชื่อ Google Maps ให้ไปตามทางนั้นเพราะมันเป็นทางต่างระดับที่ไม่มีทางลง ฉันเดินตัดไปกะว่าฉลาดกว่ากูเกิ้ลแน่นอน เลยต้องเสียเวลาเดินอ้อมกลับไปทางเดิม) ใกล้ๆมีคนมาถ่ายมิวสิควีดีโอด้วย เพลง EDM เมิงทำความโรแมนติกกุหายหมด
วิวสะพาน Brooklyn Bridge
วิวเมืองแมนฮัตตัน
วิวเมืองแมนฮัตตัน (ยามดึก)
เห็นเทพีแบบไกลๆ
หลังจากดูพระอาทิตย์ตกเรียบร้อยก็มาต่อรถ Bus เพื่อกลับที่พักที่ New Jersey หน้าคุณสำลีคือกุไม่ไหวแล้ว (ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ทำนางหลุดได้ขนาดนี้) สิริวันนี้เดินไปเบาะๆ 30,000 ก้าว (ประมาณ 21 กิโล) กลับมาหายาคลายกล้ามเนื้อกินกันแทบไม่ทัน
Day 3 (15/07) New York (2/3)
มาดูแพลนวันนี้กัน
Statue of Liberty
ไฮไลท์ของการไปนิวยอร์ก ไม่เห็นเทพีถือว่ามาไม่ถึง วันนี้เลยพยายามตื่นเพื่อไปให้ทันรอบแรกๆแต่ร่างไม่ไหวจริงๆ กว่าจะเข้า New York มาได้ หาอะไรกิน และนั่ง subway ไปถึง Battery Park (จุดที่มีเรือ ferry) ก็ปาไปเกือบ 11 โมง ลง subway มาก็มีคนมาดักขายทัวร์ไปดูเทพี เป็นกลุ่มชายผิวสี ตัวใหญ่ๆ คืออยู่ไทยยังสามารถโบกมือไม่สนใจได้ อยู่นี่ต้องหยุดฟังมันพูดอ่ะ
คนขายทัวร์: นี่จะไปดูเทพีกันชะ
ฉัน: แม่นแล้ว
คนขายทัวร์: รู้มะเจ้ ถ้าไปแบบปกตินะกินเวลา 4-5 ชั่วโมงเลยนะ กว่าจะต่อคิว security check นู่นนี่ แต่ถ้าไปกับเรา 45 นาทีก็เสร็จแล้ว (เป็นเรือ cruise ของเอกชน ขับไปใกล้ๆเทพีแต่ไม่ได้ลงไปที่เกาะ)
ฉัน: อืม เข้าใจ จะไปอันนั้นอ่ะ (เพราะจับมือคุณสำลีเดินหนี)
คนขายทัวร์: เดี๋ยวๆ คิดดีแล้วหรอ (ทำหน้าเป็นห่วง) นั่นมันตั้ง 4-5 ชั่วโมงเลยนะ
ฉัน: อืม เข้าใจแล้ว (เดินหนีไปไม่กี่ก้าว มันส่งเพื่อนมาบุกๆ)
เพื่อนคนขายทัวร์: เอ โย้วๆๆๆ เดี๋ยว
ฉัน: คุยกับเพื่อนคุณไปแล้ว เราจะไปอันนั้น (ชี้ไปที่ ferry ที่รัฐบาลอเมริกาจัดให้)
เพื่อนคนขายทัวร์: ฉันเตือนแล้วนะ
ฉัน: (ยิ้มให้) อือ
นั่นล่ะ กว่าจะผ่านมันมาได้ เสืยเวลาไปอีก มีฝรั่งหลายคนโดยดักไว้เหมือนกันนะ มันคงสะดวกสบายอย่างที่ว่าล่ะ แต่พวกเรามาดูหนทางถึกและถูกกันดีกว่า
เริ่มจากไปต่อแถวซื้อตั๋วที่ Castle Clinton ซึ่งเป็นป้อมปราการอิฐแดงที่เคยตั้งอยู่นอกชายฝั่งเพื่อป้องกันการรุกรานจากอังกฤษในสงครามปี 1812
สนนราคาคนล่ะ $18.5 จริงๆสามารถซื้อ online มาได้ด้วยนะ ส่วนใครจะขึ้นไปที่ฐานหรือมงกุฎต้องซื้อ online ล่วงหน้าหลายเดือน https://www.statuecruises.com/#/ (ฉันไปดูล่วงหน้า 2 เดือนยังซื้อไม่ทัน) คนเยอะมากจริงแต่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้ตั๋วมาครอง (เห็นคนเยอะแบบนี้ห้ามท้อเด็ดขาด)
ป.ล. ถ้าใครไม่อยากเสียตังค์ มี option ที่สามารถมองเห็นเทพีไกลๆได้จากการข้ามเรือเฟอร์รี่ Staten Island Ferry ฟรี
หลังจากนั้นไปเข้าแถวเพื่อผ่าน security check อารมณ์ประมาณเช็คของในสนามบินแต่น้ำอาหารเอาเข้าได้นะ แล้วค่อยไปต่อคิวขึ้นเรือ
คนบนเรือคือเยอะมาก
ถึงจะเห็นว่าเทพีอยู่ฝั่งซ้ายของเรือ ให้ไปเกาะฝั่งขวา เพราะตอนเรือเทียบที่เกาะพวกฝั่งขวาจะเห็นเทพีชัดมาก (พวกเราเกาะฝั่งซ้าย แป่วววว)
ถึงเกาะปุ๊ปก็เดินฝ่าแดดไปถ่ายรูปกับเทพี อย่าลืมถ่ายวิวเกาะแมนฮัตตันทางใต้
เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) ประติมากรรมรูปหญิงสาวยืนถือแผ่นศิลาในมือซ้าย จารึกวันประกาศอิสรภาพของอเมริกา 4 July 1776 มือขวาถือคบเพลิงเป็นแสงนำทางให้ผู้อพยพจากยุโรปเข้ามาหาโอกาสใหม่ใน New York เป็นของขวัญจากฝรั่งเศสมอบให้ในโอกาสครบ 100 ปีของการประกาศเอกสาร โดยมี กุลสตาฟ ไอเฟล ร่วมออกแบบด้วย เทพีจริงๆทำด้วยทองแดงแต่ทำปฎิกิริยากับน้ำทะเลเลยกลายเป็นสีเขียวอย่างที่เห็น
เข้าไปเยี่ยมชมในพิพิธภัณฑ์ มีคบเพลิงอันเก่าแสดงอยู่
มีให้ไปร่วมถ่ายรูปและแสดงความเห็นว่าอะไรคือความหมายของคำว่า Liberty สำหรับเรา แล้วรูปจะไปขึ้นบนจอแสดงภาพขนาดใหญ่ มีตาลุงคนหนึ่ง ถ่ายไปประมาณ 10 รูป ยืนเฝ้อหน้าจอไม่ไปไหน
ก็ไปถ่ายกะเค้ามาเหมือนกันนะ อิ
เรือจะแวะที่เกาะ Ellis Island ก่อนเข้าแมนฮัตตัน ซึ่งเป็น พิพิธภัณฑ์ผู้อพยพ (National Immigration Museum) ศูนย์คัดเลือกและตรวจสอบผู้อพยพมายังอเมริกา มีคนอพยพเข้ามาทางนี้ประมาณ 12 ล้านคน ถูกเรียกว่า ‘เกาะแห่งน้ำตา’ เพราะมีผู้อพยพบางคนถูกส่งตัวกลับ ปิดตัวไปหลังจากมีการเดินทางทางอากาศที่สะดวกกว่า
พวกเราไม่ได้แวะ Ellis Island เพราะขี้เกียจไปรอขึ้นเรือลงเรือ (ซึ่งนานสาหัสอยู่เหมือนกัน)
กระทิงตัวนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในเหตุการณ์ตลาดหุ้นร่วงในปี 1987 ให้ไปลูบไข่กระทิงตัวนี้จะสามารถลงจากดอยได้
ไปต่อคิวเพื่อถ่ายรูปกับ(ไข่)กระทิง คุณสำลีถึงขนาดลูบไม่ยอมปล่อยเลยทีเดียว ส่วนรูปปั้น Fearless girl ไม่มีแล้ว ถูกเอาออกไปตั้งแต่ปี 2018
Wall Street
เป็นย่านการเงินที่สำคัญของโลก แต่ตอนไปแถวนั้นกำลังปรับปรุงอยู่เลยดูไม่มีสง่าราศีเท่าไหร่นัก
New York Stock Exchange ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1792
Federal Hall National Memorial จอร์จ วอชิงตัน สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก โดยมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ข้างหน้าอาคาร
คือไม่รู้ว่าจะบอกคนอื่นยังไงว่ามาถึง Wall Street แล้วนะ มีลุงกะป้ามาถ่ายตามด้วย
เป็นสถานีรถไฟที่เปิดใช้เมื่อ 4 มีนาคม 2016 ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ Santiago Calatrava ซึ่งอาคารมีรูปร่างแปลกตาเหมือนนกพิราบ (อันนี้คิดเองนะ)
ข้างในก็อลังไม่แพ้กัน
One World Trade Center (Freedom Tower)
สร้างขึ้นมาแทนตึกแฝดเก่า ข้างบนมีจุดชมวิวชื่อ One World Observatory
9/11 Memorial Museum
ข้างหน้ามีบ่อน้ำตก 2 สระซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของตึกแฝด World Trade Center โดยเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงเหตุการณ์วินาศกรรมจี้เครื่องบินชนตึก เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 มีผู้เสียชีวิต 2,606 คน รายชื่อทั้งหมดถูกสลักไว้บนขอบของสระน้ำ
ในวันเกิดของผู้เสียชีวิตจะมีดอกกุหลาบไปปักไว้
ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์คนละ 26$ ต่อแถวซื้อบัตรก็เกือบชั่วโมงแล้ว ป๊อปปูล่ามาก
พิพิธภัณฑ์ทำดีมากๆ ช่วงแรกๆจะเป็นแบบเบสิค แสดงรูปภาพตอนตึกยังอยู่
เส้นทางการบินของเครื่องบิน 4 ลำที่ถูกจี้
กำแพงกั้นน้ำจากแม่น้ำ hudson ที่โชคดียังคงทนอยู่ได้หลังจากเกิดเหตุการณ์ 9/11 ไม่งั้นน้ำที่ทะลักเข้ามาจะทำให้การกอบกู้สถานการณ์เป็นไปอย่างลำบากมากขึ้น
บันไดที่ผู้รอดชีวิตใช้หนีออกจากตึกในระหว่างที่เครื่องบินชนแต่ตึกยังไม่ถล่ม
เสาสัญญานที่อยู่บนตึก World Trade Center 1
รถดับเพลิงที่ไปถึงเป็นหน่วยแรกๆและพยายามจะกู้ภัยนำคนออกมา แต่ตึกถล่มลงมาก่อน ทำให้เจ้าหน้าเสียชีวิตไปสามราย
ทางพิพิธภัณฑ์แยกสื่อที่ค่อนข้างรุนแรงออกมาอีกอยู่ห้องเฉพาะ โดยห้ามไม่ให้ถ่ายรูปและกำหนดอายุของผู้เข้า (ตอนแรกฉันก็สงสัยว่าทำไมไม่มีวีดีโอตอนตึกถล่มเพราะขนาดฉันยังได้ดูแบบ live – ตอนนั้นดูละครอยู่แล้วถูกตัดภาพไปตอนตึก 2 โดนเครื่องบินชนพอดี เค้าประเมินออกมาว่ามีประมาณ 2 พันล้านคนหรือ 1/3 ของคนบนโลกได้เป็นพยานต่อเหตุการณ์น่าสะพรึงขวัญนี้) โดยในห้องนี้จะมี content ดังนี้
- มีช่างกล้องตั้ง live stream ภาพ landscape ของเมืองแมนฮัตตันเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์ (จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร) โดยมีตึก World Trade Center อยู่ในภาพด้วย โดยภาพถ่ายจะ update ทุกๆ 4 วินาที และสามารถจับภาพตอนเครื่องบินชนตึกได้พอดี นึกถึงถ้าเราเป็นคนที่ดูภาพอยู่แล้วเห็นพอดีคงช็อกน่าดู
- ที่สะพรึงจริงๆเป็นเสียงฝากข้อความของ Vice President บริษัท AON Corporation ถึงภรรยา โดยที่เขาทำงานอยู่ที่ตึก World Trade Center 2 ตอนที่ World Trade Center 1 ถูกชน เป็นข้อความประมาณว่าตอนนี้มีเครื่องบินชนอีกตึก มันเลวร้ายมาก แต่เค้าปลอดภัยนะ ไม่ต้องเป็นห่วง และอีกไม่กีนาทีหลังจากนั้น WTC 2 ก็ถูกชน แถมย่ำแย่กว่าเพราะเครื่องบินชนตรงกลางตึกและถล่มลงมาก่อน World Trade Center 1 (ในขณะที่ World Trade Center 1 ถูกชนค่อนไปทางบนๆ ทรงตัวได้ประมาณชั่วโมงหนึ่งถึงจะถล่มลงมา)
- มีวิดีโอตอนจังหวะที่ตึกถล่มลงๆ คือแค่ 10 วินาทีเท่านั้นเอง คิดดูว่ากว่าจะสร้างขึ้นมานานขนาดไหน
- สุดท้ายมีการสืบสาวเรื่องราวไปถึงผู้ก่อการร้าย เผยโฉมหน้าและเหตุการณ์การเตรียมการเพื่อก่อการร้าย โดยเริ่มจากผู้ก่อการร้ายประมาณ 20 คนบินเข้ามาที่อเมริกาจากประเทศต่างๆ (คือมีบินมาจากกรุงเทพด้วย) 6 เดือนล่วงหน้าและเข้าเรียนการบินในอเมริกา (สงสัยว่าสมัครเรียนง่ายแบบนั้นเลยหรอ) จากนั้นซื้อตั๋วบินระหว่างรัฐต่างๆเพื่อสังเกตการทำงานของ security และพนักงานบนเครื่องบิน และสุดท้ายคือแบ่งกลุ่มเป็น 4 กลุ่มตามระดับความเก่งอังกฤษ จี้เครื่องบิน 4 ลำเพื่อก่อการร้าย (2 ลำชน World Trade Center 1 ลำไปชนตึกเพนตากอน 1 ลำตั้งใจว่าจะชนตึก US Capital แต่คนบนเครื่องช่วยกันต่อต้านเลยตกกลางทาง) ถ้าดูตาม seating plan คือจะวาง 2 คนให้นั่งใกล้ cockpit ที่สุด ที่เหลือกระจายนั่งอยู่กลางๆตัวเครื่อง
ตอนต่อแถวซื้อบัตรฉันเพิ่งได้รับข่าวร้ายว่าเพื่อนที่ไปโครงการเรือเยาวชนด้วยกันเสียชีวิต พอเข้าไปดูในพิพิธภัณฑ์เจอทั้งภาพ ทั้งเสียง ทั้งวีดีโอ ของเหตุการณ์ 9/11 เข้าไปจนอยากจะอาเจียน ต้องสะกิดคุณสำลีขอนั่งพักเอายาดมขึ้นมาดม นี่ขนาดฉันเป็นคนจิตแข็งมากๆนะเนี่ย เพิ่งเข้าใจเวลาดูหนังแล้วตัวละครเป็นลมตอนได้รับข่าวร้ายมากๆ
กะจะไปขึ้น Top of the Rock เพื่อถ่ายวิวเมืองยามพระอาทิตย์ตกซักหน่อย แต่พอไปถึงคือคิวเต็มยาวจนถึงเกือบสี่ทุ่ม เลยตัดสินใจว่าไว้มาใหม่พรุ่งนี้เช้า ใครที่จะถ่ายช่วงเวลา prime time แบบนี้อย่าลืมมาซื้อบัตรจองเวลาก่อนนะคะ (ไม่แน่ใจว่ามีแบบ online หรือเปล่า)
วันนี้ซัดไปอีกประมาณ 21 กิโล คือปวดหลังล่างจนเบ่งตดแล้วน้ำตาเล็ด
Day 4 (16/07) New York (3/3)
วันนี้ไม่เที่ยวเยอะ ต้องเผื่อเวลาขับรถไกลไป Washington DC
Top of the Rock
ตั้งอยู่บนดาดฟ้าของตึก Comcast Building ถือเงินไปเลยคนละ 41$ (กระเป๋าเบาเลยทีเดียว) ตอนเช้าคนไม่เยอะ
ไปถึงซื้อบัตรแล้วได้ขึ้นเลย โชคดีมากอากาศเป็นใจไร้เมฆ แต่ก็ร้อนมากๆเช่นกัน
วิวมี 3 ชั้น พวกเราหยุดถ่ายกันทุกชั้น วิวหลักๆคือ Empire State Building ซึ่งเคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกเมื่อปี 1931 ใช้เวลาสร้างแค่ 1 ปีกับ 45 วัน ถือเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคปัจจุบัน นับเป็นอาคารหลังแรกของโลกที่มีความสูงมากกว่า 100 ชั้น อยู่ในหนังเรื่อง King Kong
Grand Central Park ที่เราไปเดินกันตอนมาถึงวันแรก
Hudson River เป็นแม่น้ำที่กัปตัน Sully สามารถนำเครื่องบินลงจอดฉุกเฉินสำเร็จได้อย่างปาฎิหารย์ สามารถไปหาหนังเรื่อง Sully มาดูกันได้ นำแสดงโดย Tom Hanks
ส่องกันไปถึงเทพีเลยทีเดียว
คุณสำลีบอกคุ้มค่าเงินที่เสียไป เพราะน่าจะเป็นมุมที่เห็นตึก Empire State ที่ดีที่สุด (ถ่ายมาประมาณล้านมุม)
Hudson Yards (The Vessel)
สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ เพิ่งเปิดในเดือนมีนาคม 2019 ต้องจองตั๋ว (ฟรี) online หรือสามารถสแกน QR code ข้างหน้าได้ แต่ก็ต้องนั่งรอให้ถึงคิว
เหมือนไปออกกำลังกายด้วยเครื่อง stepper ขางี้ล้าไปหมด (จริงๆมีลิฟต์ที่มีรูปรถเข็นติดอยู่ แต่ก็เห็นมีคนปกติขึ้นไปเหมือนกัน)
คุณสำลีเดินลืมเหนื่อย ไอเดียการถ่ายรูปพรั่งพรู
ได้มาประมาณล้านมุม
มุมก้ม มุมเงย bird-eye-view พี่แกเก็บหมด
ต้องกล่อมให้มาถ่ายรูปของตัวเองบ้าง (ไม่งั้นคนเดินตามมีเข่าหลุด)
สรุป Hudson Yards ไม่มีประวัติอะไรน่าสนใจ แต่ช่างกล้องควรไปค่ะ ปีนป่ายกันสนุกสนานเลยทีเดียว
The High Line
เดินไปจาก Hudson Yards ไม่ไกลนัก สมัยก่อนเป็นทางรถไฟยกระดับไว้ขนส่งอาหารเข้ามาใน New York ต่อมาคนหันมาใช้รถบรรทุกกันมากขึ้นจนไม่ค่อยมีใครใช้รถไฟส่งของกันอีก รถไฟสายจึงถูกทิ้งร้างตั้งแต่ 1980 โดยมีแผนจะทำลายทิ้งในปี 1999 แต่ก็มีคนไม่เห็นด้วยอยากให้อนุรักษ์ไว้จึงถูกเปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะโดยมีความยาว 2.3 กม. โดยมีวิวอีกฝากเป็นแม่น้ำ Hudson
เหมาะกับการไปเดินเล่นตอนเย็นๆ ชมพระอาทิตย์ตก ตอนไปคือร้อนแดดเผาหัวเลยได้แต่ดมๆแถวต้นๆสายแล้วตัดใจกลับ
หมดการท่องเที่ยวในมหานครนิวยอร์กแต่เพียงเท่านี้ ถึงจะมาช้าไป 1 วัน(ด้วยความเบลอของตัวเอง) แต่ก็เก็บครบตามที่ตั้งใจไว้ ฉันไม่ใช่แนวนิยมศิลปะเลยไม่ได้เข้าไปดูพวกพิพิธภัณฑ์เลย จริงๆมีพิพิธภัณฑ์ดีๆเยอะมาก เช่น MoMA, The Mets etc. ถ้าใครสนใจสามารถไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ค่ะ
สรุป ส่วนตัวฉันไม่ชอบ New York คิดว่ามัน happening เยอะไปจริงๆ เช่น บนรถไฟใต้ดิน อยู่ดีก็มีคนมาร้องเพลง พูด inspiration quote ร้องโอเปร่า ตามถนนก็ขับรถ ATV ยกล้อกันเฉ้ย คนพูดจาห้วนๆดุๆเสียงดัง แย่งกันกินแย่งกันใช้ homeless เยอะมาก ฉันที่พกเงินสดมาค่อนข้างเยอะ (เพราะต้องอยู่ต่ออีกเป็นเดือนกว่าจะเปิดแบงค์ได้) ถึงกับลังเลระหว่างทิ้งเงินไว้ที่ Airbnb หรือพกกับตัวอันไหนจะปลอดภัยกว่าเพราะดูเหมือนมีโอกาสถูกจี้ได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆคงไม่กลับมา
หลังจากนี้พวกเราเดินทางไปสนามบิน LGA เพื่อรับรถเช่าและขับไป Washington DC คันนี้เลยจ้า ใหม่เอี่ยมอ่องสุดๆ
ใช้เวลาประมาณเกือบ 5 ชั่วโมง กว่าจะถึงที่พักคือห้าทุ่มกว่าๆแล้วค่ะ
เจอกัน EP หน้า ตะลุยสามเมืองรวดเลยจ้า