แปะลิ้งค์ให้กดไปดู EP อื่นๆได้ง่ายๆจ้า
EP1 Intro + บินถึง Chicago/Kellogg School of Management
EP3 Washington DC, Philadephia, Boston
EP4 Acadia National Park/Chicago
กลับมาอีกครั้งหลังหายไป 6 เดือน มีคนถามว่า(เมิง)ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ยังอยู่ค่ะเพื่อนๆ แค่ช่วงที่ผ่านมายุ่งมาก ส่วนช่วง covid-19 นี้ก็ว่างมาก self-isolate ตัวเองอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ คิดถึงภูเขา sunset sunrise สวยๆจนต้องงัดทริปนี้ออกมาเขียนไปพลางๆ
ทริปนี้เป็นทริปประเดิมก่อนที่ฉันจะเริ่มเรียน MBA ที่อเมริกา เป็นการเที่ยวเมืองใหญ่ๆในฝั่งตะวันออกของประเทศอันใหญ่โตนี้ ประกอบด้วย New York, Washington DC, Philadelphia, Boston, Acadia National Park (ในรัฐ Maine) และมาจบที่ Chicago เมืองที่ฉันจะต้องอยู่ไปอีกสองปี
ไม่พูดมาก (แต่มึงพล่ามมาสอง paragraph แล้วงี้) ขอเจิมด้วยภาพเด็ดๆที่ต้องมีของแต่ละเมืองก่อนเลย
NEW YORK
WASHINGTON DC
PHILADELPHIA
BOSTON
ACADIA NATIONAL PARK
CHICAGO
ค่าใช้จ่าย
แพงงงงง แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเพราะความเอ๋อของฉันทำให้ทริปมันแพงขึ้นกว่าเดิมอีก แต่เอาอันที่ควรจะเป็นมาบอกก่อน รวมเบ็ดเสร็จอยู่ที่ประมาณ 82,000 บาท ตามรายละเอียดดังนี้ค่ะ
รายการ | ค่าใช้จ่าย (บาท) | ค่าใช้จ่ายต่อคน (บาท) |
ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ – ชิคาโก้ | 33,000 | |
ตั๋วเครื่องบินไปกลับ ชิคาโก้ – นิวยอร์ก | 6,859 | |
ค่าเช่ารถ 8 วัน ประกันระดับเบสิกสุด | 14,360 | 7,180 |
ค่าน้ำมัน | 3,450 | 1,725 |
ค่าที่พัก | 20,465 | 10,232 |
ค่ากินและบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ | 21,710 | |
ประกันการเดินทาง | 983 | |
ซิมโทรศัพท์ | 450 | |
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด | ประมาณ 82,139 |
แผนการเดินทาง
ทริปนี้ถือเป็น Road Trip ครั้งที่ 3 ในชีวิต (นิยามของ Road Trip ของฉันคือมีการเช่ารถขับเกิน 1 วัน) แต่เนื่องจากฝั่ง East ของอเมริกามีเมืองใหญ่ค่อนข้างเยอะ นอกจากขับรถเยอะแล้วก็ยังต้องเดินเยอะมากๆด้วย ใครจะตามมา อย่าลืมซ้อมเดินมาก่อนนะจ๊ะ
ทริป 12 วันนี้ อยู่ในช่วง 12-25 กรกฏาคม 2019 (ที่มันแหว่งๆเพราะมีบางวันแอบไปซื้อของเข้าอพาร์ทเม้นท์) มีแผนการท่องเที่ยวในแต่ละวันดังนี้ค่ะ
Day1 | 12-13/07 | โบยบินไปตั้งหลักที่ Chicago เยี่ยมชมมหาลัยที่จะไปเรียนเป็นครั้งแรก |
Day2 | 14/07 | New York (1/3) |
Day3 | 15/07 | New York (2/3) |
Day4 | 16/07 | New York (3/3) |
Day5 | 17/07 | Washington DC |
Day6 | 18/07 | Philadephia |
Day7 | 19/07 | Boston (1/2) |
Day8 | 20/07 | Boston (2/2) |
Day9 | 21/07 | Acadia National Park (1/2) |
Day10 | 22/07 | Acadia National Park (2/2) |
Day11 | 23/07 | Back to Chicago ขับมาขึ้นเครื่องที่ New York |
Day12 | 25/07 | Chicago |
ยังคงคอนเซ็ปต์ไม่มีคนคบ ไปกันสองคนเหมือนเดิมค่ะ ช่างภาพสำลีกับฉันซึ่งเป็นหัวหน้าทัวร์แบบมั่วๆ อิอิ
ขอแบ่งเป็น 4 EP แปะ Link ไว้ที่ด้านบนแล้วจ้า
Day 1 (12-13/07) โบยบินไปตั้งหลักที่ Chicago
บินจริงๆ 20:40 แต่มาถึงสนามบินตั้งแต่ยังไม่ 5 โมงดี เนื่องจากขนสัมภาระไปอยู่ 2 ปีเลยมีกระเป๋าหลายใบ Qatar Airlines อนุญาต 2 ใบ ใบละ 23 โล ดีที่คุณสำลีไปด้วยเลยขนไปได้ 4 ใบ อิอิ ไปเสียเงินชั่งใบล่ะ 10 บาท มารู้ทีหลังว่าไปชั่งฟรีได้ตรง zone กระเป๋าเกินขนาด กำ
พวกเราบิน Qatar Airlines (เข็ดแล้วสายการบินจีน) สนนราคาตั๋วของคุณสำลี ไปกลับ Chicago อยู่ที่ 33,000 บาท ส่วนฉันไปอย่างเดียว 28,000 บาท ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ
สมกับที่เป็นสายการบินที่ประทับใจที่สุดเท่าที่เคยบินมา (คราวที่แล้วบินจากสิงคโปร์ไปตุรกี) ที่นั่งกว้าง หนังก็ update มีอุปกรณ์จำเป็นในเครื่องบิน เช่น ที่ปิดตา (ที่เล็กกว่าหัวไปหน่อย) ที่อุดหู ถุงเท้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ลิปปาล์ม (ไม่ได้ใช้ซักอย่าง) ไม่รวมหมอน ผ้าห่ม หูฟัง อันนี้ไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆทั้งสิ้นนะ สาบาน
จากกรุงเทพไปกาตาร์ (แวะพักที่สนามบินโดฮา) บินประมาน 7 ชั่วโมง มีอาหารหลักเสิร์ฟหนึ่งครั้งตอนเครื่องขึ้นและอาหารว่างเสิร์ฟอีกครั้งตอนเครื่องจะลง
เปลี่ยนเครื่อง 8 ชั่วโมง ต้องพยายามไม่นอนเพื่อปรับเวลาให้เข้ากับที่อเมริกา แอบคุณสำลีไปเข้า Lounge ของ Priority Pass (ราคาปกติ 55$) ขโมยเป๊ปซี่ดินแดนอาราบิกออกมาให้คุณสำลีดื่ม ตัวอักษรหยักๆน่ารักเชียว
อย่าเสียเงินเข้าเลย Lounge นี้ ไม่มีอะไรให้กินเลย ขนาดว่าเข้าฟรี (เพราะมี Priority Pass) ยังเสียดายเวลาเดินมา
ว่าจะพยายามไม่นอน แต่หายวืบไปเลย 3 ชั่วโมง เก้าอี้ที่สนามบินฮามาดช่างนุ่มสบายยิ่งนัก (ที่จริง jetlag)
ก่อนขึ้นเครื่องมีการ screen จากที่กาตาร์ก่อน เจ้าหน้าที่จะถามคำถามพื้นฐานพร้อมเช็คเอกสารที่จำเป็นว่ามีติดตัวหรือไม่ (เช่น ในกรณี F-1 ต้องมีเอกสาร I-20 ขึ้นเครื่องเพื่อผ่านต.ม.ด้วย) บินต่อจากกาตาร์ถึงชิคาโก้ อีก 14 ชั่วโมง ดูหนังจบไปสามเรื่องแล้วยังไม่ถึงเลยคิดดู
ผ่านต.มด้วยความสาหัส เนื่องจากต้องแยกประเภทของวีซ่า (ฉันเข้าช่อง F-1 ส่วนคุณสำลีเข้า B-1) ของ B-1 คุณสำลีเล่าว่าจะต้องไปกดที่เครื่องก่อน จะได้ใบอะไรซักอย่างมายื่นให้เจ้าหน้าที่เพื่อสัมภาษณ์ ถามสองสามคำถาม เช่น อยู่กี่วัน ไปไหนบ้าง ก็ให้ผ่านออกมา คนเยอะมากแต่จริงๆไม่นานหรอก ส่วน F-1 เห็นคนน้อยๆตอนแรกนึกว่าจะเร็ว โห มีแค่สองช่อง สัมภาษณ์แต่ละเคสก็นานมาก แถมยังสลับให้ลูกเรือที่ล้นช่องของตัวเองออกมามาแซงคิวเป็นระยะ จนครอบครัวหนึ่งทนไม่ได้โวยวายกับป้าคนจัดคิวขึ้นมา ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ต้องออกมาขึ้นเท้าเอวตวาดเสียงดัง
เจ้าหน้าที่: เกิดอะไรขึ้น
ผู้รอผ่าน ต.ม. F-1: $%#^#&* จับใจความประมาณคนจัดคิวเอาคนอื่นมาแซงอยู่ได้
เจ้าหน้าที่: บอสฉันสั่งมางี้ มีปัญหาหรือไง ถ้ามีปัญหานักไปต่อคิวที่ช่องอื่นซะ (มันมีช่องไหนอีกหรอ เข้ายากจังประเทศมึงเนี่ย)
บรรยากาศวังเวงไปชั่วครู่ ฉันได้แต่ภาวนาในครอบครัวนั้นผ่านวีซ่าสำเร็จ
ยืนขาแข็งมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงคิวฉัน จนท ขอดู I-20 ให้สแกนลายนิ้วมือ ถามว่ามาครั้งแรกหรือเปล่า แล้วก็ปล่อยไป อ้าว แล้วไอ้คนที่นานๆก่อนหน้าที่มันทำอะไรกันอยู่อ่ะ
เดินไปรับกระเป๋า คุณสำลียืนรอเหงื่อแตกอยู่เพราะมีน้องหมาบีเกิล (คือดูโคตรไม่ใช่หมาตำรวจ) ดมตรวจกระเป๋าทุกชิ้น (กลัวว่าจะเจอน้ำพริกกุ้งเสียบที่ซ่อนไว้) เนื่องจากกระเป๋าใหญ่แล้วมีหลายใบ เลยต้องเข้าช่องตรวจสัมภาระพิเศษแต่ก็ผ่านฉลุยมาด้วยดี
คุณสำลีเงียบไปแล้วขอดู passport ฉัน (คิดในใจ โดนวิญญาณ ต.ม. สิงหรือไงฟะ) ซักพัก นางชี้วันที่ที่เจ้าหน้าที่ประทับตราซึ่งเป็นวันที่ 13 Jul ชิบหายยยย ฉันเข้าใจมาตลอดว่าจะมาถึง 12 Jul เลยจองตั๋วไปนิวยอร์ก 13 Jul ซึ่งเวลาที่ฉันจองนั้นก็ได้ผ่านไปแล้ว เอิ่มมมมมมมม ความรู้สึกตกเครื่องเป็นครั้งแรกในชีวิตมันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ
คุณสำลี activate AIS sim2fly ที่ซื้อมาจากเมืองไทย พอได้สัญญาณอินเตอร์เน็ตปุ๊บ Message เด้งถล่มถลายมาก ข้อความส่วนใหญ่คือเพื่อนๆถามว่าเมิงหายไปไหน ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม (กุยังไม่ตาย แค่บอกวันผิดจ้ะ ฮือออออออ) เนื่องจากว่าบอก Apartment Manager ไว้ว่าจะเข้าไปวันที่ 12 Jul (weekday) แต่มาถึงจริงดันเป็นวันเสาร์ ซึ่งเสาร์อาทิตย์เค้าไม่อยู่ โชคดีที่น้องๆชาว Kellogg ที่มาอยู่ก่อนหน้าช่วยอิป้าที่ยังงงๆอยู่ให้เข้าไปพักผ่อนแล้วอาบน้ำและค้างคืนที่ห้องน้องจูนได้ (กราบขอบพระคุณน้องจูนน้องไอซ์เป็นอย่างสูงที่ช่วยเหลือจ้า)
หลังจากนั้นจัดการจองตั๋วไปนิวยอร์กเร่งด่วน เลยได้ราคาแบบด่วนๆมาด้วย 6,xxx บาท ต่อคน เมสเสจไปหาเจ้าของ Airbnb ว่าไปไม่ถึงนะ คืนแรกก็จ่ายฟรีๆไป เป็นบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิตเลยทีเดียว
จัดการชีวิตตัวเองเสร็จแล้วยังซ่าอยู่ เลยไปเดินสำรวจเมือง Evanston ที่ฉันจะต้องมาติดอยู่ที่นี่อีก 2 ปี เป็นเมืองเงียบๆและสะอาด อากาศตอนนี้ถึงมีแดดแต่พอลมพัดมาทีก็แอบเย็นเบาๆ เดินไปขอบคุณน้องที่ช่วยให้ข้อมูลฉันเพื่อเข้า Kellogg (เรียนจบแล้วกำลังจะกลับ) และก็เดินไปดูโรงเรียน
Kellogg School of Management
Love at first sight ตึกของ Kellogg School of Management สวยมากกกกกกกก ปลื้มอ่ะ
ตั้งอยู่ริม Lake Michican พอดิบพอดี แต่เพราะเป็นวันเสาร์ เลยเข้าไปดูไม่ได้ ได้แต่ชื่นชมอยู่รอบๆ
ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้เรียนที่โรงเรียนนี้จริงๆ ถ่ายรูปคู่กับโรงเรียนเป็นศิริมงคลซักหน่อย
รอบๆเป็นทางให้คนมาเดินเล่น วิ่ง ขี่จักรยาน
กลับมานอนเอาแรงเตรียมตื่นไปขึ้นเครื่องไปนิวยอร์กในวันพรุ่งนี้จ้า
เจอกัน EP2