10 เดือนที่แล้ว ยังจำได้ถึงวันที่เจ้านายคนปัจจุบันชวนให้ย้ายมาทำงานด้วยกัน วันนั้นบอกแกไปว่า “พี่คะ แต่ background เจนเป็น IT นะ” ส่วน boss ท่านก็ตอบกลับมาสบายๆว่า “เอาน่า มาสัมภาษณ์ก่อน เดี๋ยวดู resume ให้” หลังไปสัมภาษณ์กลับมา แล้วข่าวคราวเงียบหายไปเป็นเดือนๆ ฉันยังคิดอยู่เลยว่าคงจะนกแน่ๆ แต่ในที่สุดก็ได้รับการติดต่อว่า คุณได้รับโอกาสนี้ค่ะ
คำเตือน บทความนี้ยาวมากก
โอกาสที่ว่าถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งกับการเปลี่ยนงานครั้งนี้ เพราะเป็นการเปลี่ยนใน 2 แกนหลักๆ คือ
- เปลี่ยน #1 คือการเปลี่ยนสายอาชีพ จากการทำ IT Consulting ไปเป็น Management Consulting ถามว่ามันแต่ต่างขนาดนั้นเลยหรอ คำตอบคือ ต่างมากกกก ต่างค่อดดดด เรียกว่า technical skills เปลี่ยนเกือบทั้ง set สิ่งที่เคยทำ เคยรู้ เดี๋ยวนี้แทบจะไม่ได้งัดขึ้นมาใช้ กลายเป็นความรู้ก้นกรุที่ทำท่าจะสลายไปตามกาลเวลา
- เปลี่ยน #2 คือการเปลี่ยนตำแหน่ง จาก Senior Consultant ไปเป็น Assistant Manager หรือจากคนทำ คนรับคำสั่ง ไปเป็นคนบริหารจัดการ คนออกคำสั่ง โดย boss ท่านเคยบอกว่า Assistant Manager ถือเป็นตำแหน่งวัดใจคนในสายอาชีพเราว่าจะหมู่หรือจ่า จะอยู่หรือไป อาจจะเป็นเพราะการพลิกบทบาทครั้งสำคัญ หรือปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ตำแหน่งนี้ ‘ยาก’ ที่จะผ่านไป
นอกจาก major changes ที่ว่า ยังมี minor changesssss ประปรายมากมาย เช่น culture บริษัทที่เปลี่ยนเป็น อายุเฉลี่ยเพื่อนร่วมงาน มุมมอง ที่ทำให้การทำงานโดยรวมเมามันส์เข้าไปใหญ่ ‘จะยากอะไร กับการเปลี่ยนสายอาชีพ’ 300 กว่าวันที่ตรากตรำมาทำให้ตอบคำถามนี้ได้แทบจะทันทีว่า ‘ยากเ_ยๆเลยไง’ (จงเติมคำในช่องว่าง ชะอุ้ย)
ทุกอย่างมันต้องมีครั้งแรก
ครั้งแรกมักจะเจ็บ (ห๊ะ!) มันจะลำบาก แต่ครั้งหลังๆมันจะดีขึ้น สบายขึ้นเอง จริงแท้แน่นอน และหลีกหนีไม่ได้ในงาน consult แต่ปกติมันไม่เยอะ ไม่แซ่บ ไม่สุดโต่งขนาดนี้ไง
- ครั้งแรกของการทำ proposal คนเดียวในสิ่งที่เราไม่รู้ภายใน 1 สัปดาห์
เริ่มทำงานวันแรก เพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวที่อเมริกา ได้ความล้าและ jet lag มาเป็นของแถม หลังจาก orientation อยู่ครึ่งวัน HR ไม่รอช้า พาขึ้นไปปล่อยที่แผนก เปิดคอมขึ้นมาแล้วแทบจะลมจับ boss ท่านทิ้งเมล์ไว้เป็นสิบๆก่อนบินจากไปประชุมสิงคโปร์ กำลังไล่อ่านทำความเข้าใจก็มีคำสั่งฟ้าฟาดให้เข้าประชุมกับ senior manager และ director ชาวญี่ปุ่น (บริษัทฉันจะมีทีมงานคนญี่ปุ่นไว้ปฏิบัติภารกิจพิชิตใจลูกค้าญี่ปุ่นโดยเฉพาะเรียกว่า Japanese Group) พวกนางต้องการคนทำ proposal (เอกสารเสนอขายงาน จะประกอบด้วยขอบเขตงาน วิธีการปฏิบัติงาน ระยะเวลา ประวัติทีมงาน ผลงานที่ผ่านมา ฯลฯ) เรื่องเกี่ยวกับ internal audit (ในใจ: ห๊ะ เรื่องอะไรนะ) ภายใน 1 สัปดาห์ (ในใจ: พูดผิดใช่ไหม 1 เดือนป่าว) เดินออกมาจากห้องประชุมนี่อย่างสับสน อย่างแรกคือสับสนว่าเมื่อกี้นั่งอยู่ตรงไหน 555 เพราะตอนเดินไปนี่มีคนพาไปอย่างเร่งรีบ สับสนเรื่องใหญ่กว่านั้นคือ กุจะไปถามใคร้ รายละเอียดที่กล่าวมาทั้งหมดเมื่อกี้ เอาจริงๆ เครื่องปริ๊นท์ยังต่อไม่ได้เลยเนี่ย! - ครั้งแรกของการบินไปสัมภาษณ์ลูกค้าที่ต่างจังหวัดในเรื่องที่เราไม่ถนัด
งานที่ตามมาติดๆคือการบินเดี่ยวไปทำโปรเจคที่ลำพูนเกี่ยวกับ Business Process Improvement (BPI) แปลเป็นไทย ปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยโปรเจคนี่เน้นหนักไปที่กระบวนการทางบัญชี ลูกค้าอยู่ใน jewelry manufacturing industry โดยต้องปิดให้ได้ภายในเวลา 1 เดือน ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น (BPI, jewelry manufacturing industry, กระบวนการทางบัญชี) ความรู้ของข้าพเจ้าอยู่ในระดับศูนย์ถึงง่อยมาก ค่อยๆงมตั้งแต่ติดต่อจองเครื่องบิน จองที่พัก ลิสต์คำถาม วันก่อนวันไปนั่งทบทวนความรู้จนดึก ตื่นสายไปเกือบ 30 นาที บึ่งรถไปหาที่จอดรถที่ดอนเมืองอย่างมึนๆ เกือบตกเครื่อง อยู่บนเครื่องก็หลับไม่ลง เอาคำถามมาทวนแล้วทวนอีก เจอ Managing Director (MD) ของลูกค้าเป็นคนฝรั่งเศสที่พยายามพูดภาษาไทย (ณ จุดๆนั้น ไม่ว่าพูดไทยหรืออังกฤษกุก็ฟังไม่ออกทั้งนั้น เดาแล้วถามทวนเอา) สัมภาษณ์ 9 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม คนขับรถของลูกค้าพาไปส่งโรงแรมไม่ถูก กว่าจะงมไปถึง กว่าจะได้กินข้าว ได้นอน (ปกติจะกลัวผี คืนนั้นหัวถึงหมอนหลับลืมกลัว) หลังจากนั้นต้องมานั่งทำความเข้าใจกับ P/L, Financial Statement, Costing, Budgeting อือ เดบิตเครดิตยังสับสนเลย… - ครั้งแรกของการทำโปรเจคระดับชาติใน industry ที่ไม่เคยแตะมาก่อน
คู่ขนานกันไปกับโปรเจคแรก ได้รับโอกาสให้เข้าไปลุยในโปรเจคสุดอลังการ กับความ ‘ครั้งแรก’ ที่ถาโถมเข้ามา 3 ประการ
1. ทำแผนกลยุทธ์ Strategic Roadmap
2. ระดับชาติ ประกอบด้วยภาครัฐ (ระดับไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีมาแล้ว 3 กระทรวง) ภาคเอกชน (CEO บริษัทยายักษ์ใหญ่เกือบทุกบริษัทในประเทศไทย) และภาคการศึกษา (โรงเรียนแพทย์ทั้งหมด) ซึ่งต่างมี hidden agenda เป็นของตัวเอง
3. อยู่ใน Life Science and Health care (LSHC) industry
ด้วยความที่ stakeholder ในโปรเจคมีประมาณ 100 กว่าท่าน อายุรวมกันดีๆมีมากกว่า 5,000 ปี คนที่ยังไม่จบเอกนี่คือนับเรียงหัวได้ เวลา conference call กันนี่คือ ผม ดร. สมชาย ขอให้ความเห็น… ดิฉัน ดร. สมหญิง ขอเสริมว่า… อยากจะบอกว่า ดิฉัน นางสาวเจน เป็น consult อยากให้คำแนะนำว่า… ฮือออออ ใครก็ได้เอากุเอาไปเททิ้งที่ไหนก็ได้ที ในโปรเจคมีทั้งจัด focus groups, interviews, workshops ทุกวันนี้ยังงงอยู่เลยว่าผ่านมาได้อย่างไร - ครั้งแรกของการทำโปรเจคกับชาวต่างชาติแบบระยะไกลตั้งแต่ต้นจนจบ
จริงๆไอ้โปรเจคข้างบนนั่นแหละ เป็นการ tag ทีมกับสิงคโปร์ค่ะ โดยฝั่งนั้นเค้าจะบินมาเข้ารวม workshop บ้าง interview บ้าง เป็นครั้งคราว แต่เอาจริงคือช่วยอะไรไม่ได้มาก (เนื่องจากส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทย ยกเว้นไปสัมภาษณ์ตัวตัวกับ CEO บริษัทยาซึ่งโดยมากเป็นชาวต่างชาติ) แล้วมันก็บินกลับประเทศมันไป ปล่อยให้ฝั่งไทย manage ลูกค้าทั้ง 100 กว่าคนของเราไป พร้อมกับที่ต้องเขียน report ไปด้วย การที่เราเป็นคนรับหน้าลูกค้า ส่วนเขาอยู่หลังบ้าน จะทำให้ทีมทางสิงคโปร์จินตนาการความกดดันจากลูกค้าไทยไม่ค่อยออก เฉื่อยชา และที่แสบที่สุดคือ ไม่ commit กับ deadline ช่วงสองสามเดือนนั้นจำได้เลยว่า โทรคุย/ด่า/ทะเลาะกับทางนั้นวันละหลายๆรอบ เรื่องเขียน report ต้องคุยกับคนหนึ่ง เรื่องจัด workshop ทำ slides สำหรับ progress meeting กับอีกคนหนึ่ง แทบจะแบกเต๊นท์ไปนอนที่บริษัท ต้องขอบคุณ Skype และเทคโนโลยีการแชร์ Screen ที่ทำให้งานนี้สำเร็จลงจนได้ - ครั้งแรกของการทำงาน 4-5 โปรเจคในขณะเดียวกัน
ที่ผ่านมาเอาจริงๆทำมากสุด 2 โปรเจคไปพร้อมๆกันนี่ก็ว่าจะเดี้ยงแล้ว อันนี้ 5 โปรเจค (3 โปรเจค active ที่เหลือไล่ตามแก้ report) เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เหตุการณ์งงขั้นสุดคือลูกค้าโปรเจคหนึ่งส่งเมล์มา อ่านเร็วๆแล้วโทรไปคุยกับอีกโปรเจคเฉยๆ (มึนได้ขนาดนั้น) ไม่รวมที่จะต้องทำ proposal/ขายงาน คู่ขนานไปด้วย บางโปรเจคลักษณ์คล้ายๆกันก็สับสนว่า issue นี้ของลูกค้าคนไหน เวลาจะนัดประชุมห้ามมั่วซั่ว กาง calendar แจก available time slots แล้วขอ confirm ภายในชั่วโมงนั้น บางทีคุยกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงานทั้งวัน กว่าจะได้ทำงานจริงๆโน่น 5 โมงเย็น จากที่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่สามารถ multitasking ได้ และไม่เคยเชื่อในความ effective ของ multitasking มาวันนี้… นู๋มึนมากค่ะ 555555 - ครั้งแรกของการขายงานได้และไปขายงานเอง
ชีวิตคนเศร้า เอ้ย consult ทำอยู่หลักๆ 2 อย่าง delivery และ sales (จะเรียกกันว่า business development) ปกติเด็กๆก็จะเริ่มจาก delivery คือทำโปรเจคที่พวก manager เค้าไปขายไปดีลกันมาได้แล้ว เลยเป็นเหตุผลว่าในชีวิตน้อยๆของฉันนี้ เคยทำ proposal บ้าง เคยไป present proposal กับเจ้านายบ้าง แต่ไม่เคย หาลูกค้า ตีโจทย์ความต้องการของลูกค้า หา expert/ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ทำ budget ทำ proposal ไป present proposal เอง ครบลูปขนาดนี้ ครั้งแรกจริงๆที่ทำให้ได้รู้จักว่าการ ‘ขาย’ งานเป็นยังไง ณ จุดนี้ ยังยอมรับว่าด้านนี้เป็น skills ที่อ่อนที่สุดของฉัน แต่คอยดูว่าอีกซัก 10 เดือน ฉันจะเป็นมือทำ proposal ของทีมที่มียอดขายถล่มถลาย (ฝันอยู่?) - ครั้งแรกของการรับมือกับทั้ง project manager และลูกค้าต่างชาติที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน
เกลียดมากที่สุดเวลามีโปรเจคสั้น 3 วัน 5 วัน แล้วต้องทำทั้งหมดตั้งแต่สัมภาษณ์ เขียน report ทำ presentation ตามเอกสาร เรื่อยไปจนถึง entertain ลูกค้า (ณ จุดนี้ การทำให้ลูกค้ามีความสุขที่สุดนั้นสำคัญมากกับการปิดโปรเจคนัก) แล้วปกติเป็น jackpot ของฉันหรือไร เดี๋ยวลูกค้ามาจากจีนบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง งานที่ทำก็ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต ต้องไปทำตัวเปรียบประหนึ่งเคยทำมาแล้วทั้งชีวิต โอ้ย เครียดดดด แต่ไปกินเหล้าไม่ได้นะ งานไม่เสร็จ ฮ่าาาาาาา - ครั้งแรกกับการมีลูกทีมต่างชาติที่อายุมากกว่าทั้งทีม
เป็นครั้งแรกจริงๆกับการบริหารโปรเจคเกือบ 10 ล้าน คำว่าบริหารคือตั้งแต่วาง project plan ดู budget (project financial) ดู expense ดู resource availability ดู quality ของ report (ก่อนส่งท่าน boss) manage ลูกค้า ฯลฯ โดยมีลูกทีมมาจากสามชาติ 2 คน on board 1 คน remote แล้วอายุมากกว่าฉันหมดเลย คือ senior consultant ที่ไหนจะแก่ไปหน๋ายยย แบบจะสั่งงานทีนี่คือต้องนอบน้อม (ถ้ากับคนไทยตรงจุดนี้จะสำคัญมากๆ) เพราะนอกเวลางานเราเคารพเค้า เค้าสอนเราเรื่อง personal หลายๆเรื่อง แต่พอในเวลางานมันต้องสลับบทบาทกัน ข้อเสียอีกอย่างของการมีลูกทีมอายุเยอะคือ พวกนางจะมีครอบครัวแล้ว โอ้ย เดี๋ยวเมียต้องคลอดลูกช่วงนี้ เดี๋ยวเมียงอน เดี๋ยวไปกินข้าวกับที่บ้านวันวาเลนไทน์ วันตรุษจีน เดี๋ยวๆๆๆๆ เดี๋ยวนะ แล้วว่าทีสามีกุล่ะ นี่อยู่ทำงานดึกๆกุก็มีสิทธิ์โดนเค้าทิ้งได้เหมือนกันนะเว้ยเฮ้ย
เรียนรู้บนความรันทด
- CAN DO Attitude!
อันนี้สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของการหลักฟันฝ่าในตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา การเชื่อว่า ‘I CAN DO IT!’ มันคือความสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้วเพราะเดี๋ยวตัวเราก็จะไปขวนขวายหาทางทำได้เอง อย่างตอนที่ทำ project อลังการระดับชาตินั้น จริงๆก็ไม่เห็นทางว่าจะทำให้รอดได้ยังไง แต่เพราะว่าเชื่อว่าตัวเองทำได้ไปแล้วไง มันถึงขวนขวายไปหาข้อมูล ไปคุยกับเพื่อนที่เป็นหมอ workshop ยากแค่ไหน meeting โหดขนาดไหน ก็ค่อยๆผ่านไปได้ทีละ meeting ทั้งตัวลูกค้าเอง บางทีการที่เค้าเห็นเราขยัน ทุ่มเท และทำทุกวิถีทางให้โปรเจคมันสำเร็จ มากเข้าก็เกิดความเอ็นดู เห็นใจ รู้สึกตัวอีกทีมันก็ผ่านไปแล้ว (แม้จะหมดเหล้าไปหลายแก้วแก้เครียดกันทั้งเจ้านายลูกน้องก็ตาม) - จงอย่ากลัวที่จะเรียนรู้
อาชีพ consultant เป็นอาชีพขายความรู้และประสบการณ์ หนีไม่พ้นต้องทำ project หรือมีส่วนหนึ่งของ project ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยทำมาก่อน แถมยังอยู่ใน position ที่ต้องไปแนะนำลูกค้าที่บางทีประสบการณ์ทำงานด้านนั้นอย่างเดียวดันมากกว่าอายุของเราซะอีก ลูกค้าหลายๆคนคิดว่า จะจ้าง consult ทำไม ในเมื่อบางทีความรู้ที่ consult มีอาจไม่เท่าพวกเขาที่ทำมาทั้งชีวิตด้วยซ้ำ อันนี้ก็จริงอยู่ แต่ความเห็นของฉันคือ consulting มีอะไรมากกว่าการวัดที่ความรู้ เพราะบางอย่างลูกค้าทำเองไม่ได้ เช่น drive ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งองค์กร แค่คิดว่าคุยกับแผนกข้างๆให้รู้เรื่องก็เหนื่อยแล้ว (เพราะทุกคนต่างมี agenda เป็นของตัวเอง) consult ทำมาหลายบริษัท เห็นปัญหา best/practical practice ที่แตกต่าง สามารถเข้าถึง pool ความรู้ที่กว้างกว่า (เพราะถ้าคนในประเทศไทยทำไม่ได้ เราก็จะไปเชิญต่างชาติมาเป็น expert ใน project) กลับมาที่เรื่องความรู้ bottom line คือ ‘จงอย่ากลัวที่จะเรียนรู้’ สมมติว่าเจ้านายบอกว่า ไปทำ proposal เรื่อง CG (Corporate Governance) มา ห้ามคิดว่า ‘ฉิบหายแล้ว แม่งคือไรฟะ จะทำไงดี จะทำเสร็จทันในอาทิตย์นี้ไหม’ ให้หัดคิดว่า ‘ม๊าาา กุนี่แหละอัจฉริยะข้ามคืน’ แล้วลงมือ research ทันที พอทำมากๆแล้วเราจะพัฒนาทักษะ Skim & Pick (นี่ตั้งชื่อเอง) รู้ว่าตรงไหนเป็นความรู้สำคัญ ต้างอ่าน เจ้านายเคยบอกฉันว่า ‘เดี๋ยวเจนคอยดู เรื่องที่เรารู้ เรา experience มา มันจะเป็น dot ให้เรา connect’ เอาจริงตอนแรกไม่เข้าใจ แต่พอทำงานๆ ไป การรู้เยอะ เห็นมาก จะทำให้เราเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น ดังนั้นต้องมี Curiosity อยู่ตลอดเวลา และกระโจนเข้าหาความรู้นะแจ๊ะ - กล้าที่จะผิด เดี๋ยวมันก็ถูก
เคยไหม กลัวผิด กลัวพลาด กลายเป็นไม่กล้าทำอะไร เฮ้ย อย่าหน้าบาง มันไม่มีใครเก็บ record ว่าใครคิดผิด ทำพลาด มาแล้วกี่ครั้ง ไม่มี world record สำหรับคนที่ทำถูกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ทำแม่งเลย ผิดไปเลย ไปโดนเจ้านายด่า ลูกค้าว่า สักทีดิ๊ ถือเป็นการทดสอบหัวใจอันแข็งแกร่ง อย่างมากก็เก็บมาบ่นกับแฟนกับแม่แล้วก็หายไป ท่องไว้เลย ‘ลอง ผิด โดนด่า ขอโทษ move on’ คือไม่สอดคล้องหรอก แต่อยากให้เห็นลำดับการเรียนรู้ แล้วก็บอกตัวเองว่า เราจะไม่ผิดซ้ำสองไง - ตั้งใจฟัง เพื่อจะรู้
การเป็น consult หนีไม่พ้นกับการมี ego ซึ่งฉันก็มี (และเคยมากกว่านี้เยอะ) เพราะอาชีพเราคือให้คำปรึกษาคนอื่นเขา ลูกค้าฟังเรา อุ๊ย เราเก่งจังเลย แต่ทำงานมาหลายปีดีดักฉันกลับพบเอง Skills ที่สำคัญมากๆอีกอย่างนั่นคือการฟัง โดยฟังอย่างตั้งใจ นึกเสมอว่า ไม่ว่าผู้พูดจะเป็นใคร ทุกประโยคที่เราฟัง เรามักจะได้อะไรกลับมาเสมอ ฉันตั้งใจพัฒนาทักษะนี้มาตลอด (แต่ก่อนมีปัญหาตรงหูฟัง ตามอง แต่ใจคิดไปถึงเรื่องอื่น) และมันช่วยให้ฉันเข้าใจอะไรได้ดีขึ้นจริงๆ - หัวใจของ multitasking คือการใช้สมาธิทำทีละอย่าง
จริงๆการทำ multitasking ไม่ใช่การทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกัน แต่เป็นการจัดลำดับความสำคัญ (ตามความสำคัญ – important และเร่งด่วน – urgency) และพุ่งสมาธิไปทำทีละอย่างให้สำเร็จลุล่วง อย่าลืมใช้ to do list จดสิ่งที่ต้องทำไว้ ใครใคร่ใช้กระดาษใช้ แต่หาใครมองหาความคูล ขอแนะนำให้โหลด app พวก to do list (จะให้ดีต้อง sync ได้กับทุก device รวมทั้ง desktop คอมที่ใช้ทำงาน) มาใช้แล้วจะทำให้ manage tasks ได้ง่ายขึ้น บาง app สามารถเลื่อน task ขึ้นลง แยก list อะไรแบบนี้ได้ด้วย - มุ่งใจไปที่เป้าหมาย ยอมแพ้ เพื่อที่จะชนะ
ยอมแพ้ในที่นี้ตีความได้หลากหลาย ยอมที่จะโดนคนเขาด่า (นี่เพิ่งโดนด่ามาว่า เป็น paranoid หรือไง ทำไมถามเรื่องนั้น เช็กเรื่องนี้อยู่นั่น) ยอมที่จะทำตัวนอบน้อมกับคนที่เค้านำความเดือดร้อนมาให้เราหรือไม่เคยพูดดีกับเรา ให้มุ่งใจไปที่เป้าหมายและผลลัพธ์ โยน ego ทิ้งไป ใครจะคิดว่าเราโง่ เรากระจอก เราอ่อนแอ เขามีอำนาจเหนือกว่าเรา อย่าได้แคร์ ตราบใดที่ทำให้เป้าหมายสำเร็จลุล่วงฉันยอมได้หมด ถ้าโดนด่า ขอโทษแล้วเรื่องมันจบ งานมันเดินได้ โอ้ย ให้ด่าว่าอ้วนยังยิ้มได้เลย (นี่คำต้องห้าม ถือว่าแรงมาก) - เจ้านายดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
เจ้านายดีในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ใจดี เข้าอกเข้าใจ สุภาพ อ่อนโยน (นั่นแฟน ไม่ใช่เจ้านายเนอะ รับทราบทั่วกัน) แต่เจ้านายดี สำหรับฉัน สำหรับอาชีพ consult คือคนที่เก่งและฉลาดกว่าเรา บอกเราได้ว่าอะไรคือข้อผิดพลาด รู้ว่าจะ stretch เรายังไงไม่ให้เราขาด แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เรามี skills และ capability เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ที่สำคัญที่สุด การให้โอกาส
เอาจริงๆคือฉันโชคดีมากที่มาถึงจุดนี้ได้ ฉันเรียนวิศวะคอมลาดกระบัง ทำงานสาย IT มาตลอด ไม่ได้จบนอก โปรไฟล์ถือว่าอ่อนด๋อยมากเมื่อเทียบกับคนอื่นในวงการ (แต่ฉันภูมิใจในสถาบันและสายวิชาชีพที่ตัวเองจบมาเสมอ เพียงแต่ต้องยอมรับการตรงๆว่าไม่ใช่ ‘พิมพ์นิยม’ ในวงการ management consulting เท่าใดนัก) ต้องขอบคุณ boss ท่านที่ให้โอกาสฉันให้เปลี่ยนสายอาชีพมาลองทำอะไรที่ท้าทายขึ้น ทำสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ ทำสิ่งที่เป็น ‘ครั้งแรก’ เยอะที่สุดในชีวิตการทำงาน เพราะถึงมันจะทุลักทุเลมากก็ตามที แต่สิบเดือนที่ผ่านมาได้นั้น มีค่ากับฉันมากจริงๆ
How you do that Jane.
You’re very strong and positive thinking women.
Cheers.
ขอบคุณมากค่ะที่ติดตามให้กำลังใจกันตลอด โพสต์ทุกครั้งก็รอ comment จากคุณ fc เสมอเลย 🙂
ขอบคุณนะคะพี่เจน
ช่วงนี้กำลังกังวลกับงานใหม่ที่กำลังรับมาเลย รู้สึกเหมือนหมดไฟนิดๆ
แต่พออ่านบทความพี่แล้วฮึดขึ้นมาเลยค่ะ
ชอบ และนับถือ attitude ของพี่เจนมากค่ะ :)
ขอบคุณมากค่ะ ดีใจที่ทำใจฮึดขึ้นมาน้าาาา
พี่เจนเก่งมากเลยค่ะ แถมมีทัศนคติที่ดีมากด้วย มีไฟให้ฮึดบ้างเลยค่ะ หญิงอยากเป็น management consultant เหมือนกันค่ะ เพิ่งเรียนจบ ทำงานได้ 8 เดือนแล้วก็ลาออกมาสอบ CFA อ่ะค่ะตอนนี้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเข้าอุตสาหกรรมได้ยังไงเลยค่ะ จบเกรด 2.93 การตลาด มาจากสามย่านอ่ะค่ะ คนที่ได้ทำ management consult ส่วนใหญ่เค้าได้เกียรตินิยมเหรียญทองกัน พี่พอมีคำแนะนำไหมคะ สำหรับการเตรียมตัวให้เข้าทำงานในอุตสาหกรรมนี้น่ะค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำตอบล่วงหน้านะคะ
ลองหา case study ทำค่ะแล้วสมัครบูทิค consult เจ้าเล็กๆก่อน พออยู่ตัวค่อยขยับขยายไปเจ้าดังๆได้ค่ะ
เป็นเด็กจบใหม่ที่กำลังจะเข้าทำงานสาย consult ค่ะ แต่สตาร์ทที่ IT consult เหมือนพี่เจนเลยค่ะ
(แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เรียนอะไรเกี่ยวข้องกับสาย IT เลย…) บริษัทที่จะเข้าเป็นบริษัทข้ามชาติที่แต่อยู่ที่ญี่ปุ่นค่ะ ไม่รู้ว่าที่เดียวกันหรือเปล่า ฮาา
กำลังหาข้อมูลหลายๆ ด้านเกี่ยวกับงานด้าน consult และก็ได้มาเจอบล็อกนี้ทีตอบคำถามได้หลายๆ อย่างเลยค่ะ
แถมอ่านทั้ง Travel, ทั้ง Life ของพี่เจนแล้ว เหมือนได้มองอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ใช่แค่เรื่องงานของอาชีพ consult ค่ะ
อยากขอบคุณบล็อกนี้มากๆ ที่สอนอะไรหลายๆ อย่างทั้งเรื่อง career และ work life balance
จะคอยมาคอมเม้นท์บ่อยๆ ค่ะ
หวังว่าจะได้เจอกันสักครั้งในสายงานในอนาคตนะคะ :))
ขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม 🙂
ไม่แน่ใจว่าคุณเจนยังดูบล๊อกนี้อยู่มั๊ย อยากได้คำปรึกษาเพราะคิดว่ากำลังจะออกจาก Consulting firm ครับ
ทักมาใน page ได้เลยค่ะ