ทริปใหญ่ปี 2016 นี้ขอเชิญชวนเพื่อนตามกันไปเที่ยวประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหพันธรัฐรัสเซีย
ทำไมถึงไปรัสเซีย?
‘หนาว ถูก แปลก ไม่ต้องทำวีซ่า’
หลังจากที่ไปผจญภัย ณ ตุรกี ดินแดนสองทวีป เมื่อปีที่ผ่านมา (ดีใจแบบเหลือจะกล่าวที่ได้ไปยลความสวยงามของประเทศนี้ก่อน ISIS บุก ขอให้ความสงบมาเยือนในเร็ววันจะได้ไปอีกรอบ) ปีนี้ยังคงคอนเซ็ปต์ไปประเทศสองทวีปเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือถูกลง เนื่องจากราคาน้ำมันถูกทุบ รัสเซียซึ่งส่งออกน้ำมันเป็นหลักเลยโดนไปแบบเต็มๆ มองแผนที่โลกแล้วเหมือนรัสเซียมีป้าย SALE 50% คาดไว้ตัวโตๆ อีกอย่างคือความโรคจิตส่วนตัวที่ไปเที่ยวทั้งทีขอไปแบบหนาวๆ แปลกๆ แอ้ดเวนเจ๊อร์ และสุดท้าย ต้องขอขอบคุณความสัมพันธ์อันดีงามของราชวงค์จักรีและโรมานอฟที่ทำให้คนไทยสามารถไปเริงร่าอยู่ในรัสเซียได้ 30 วันโดยไม่ต้องเสียสตางค์ซักบาทในการทำวีซ่า ฮูเร้
น่ากลัวมั้ย?
‘แค่คนไม่ยิ้ม พูดอังกฤษไม่ได้ ที่เหลือก็ทำการบ้านไปดีๆ’
คำถามตามมาคือ ไปกันเองเนี่ยนะ แกไม่กลัวหรอ? ก็มีบ้างอ่ะ ก็ออกจะเป็นประเทศที่ดูโหด เย็นชา มาเฟียซะขนาดนั้น แต่จากที่สัมผัสมาสรุปได้ว่าความอันตรายเท่าๆกับไปเที่ยวทุกๆที่บนโลก โจรมันก็ยังมองพวกถือเป้ สะพายกล้อง เป็นเหยื่ออันโอชะอยู่ดี อยู่ที่เราที่ต้องระวังให้ดี ความยากของประเทศนี้คือคนเค้าไม่พูดปะกิตก๊าน แม้กระทั่งในสนามบินนานาชาติ โฮสเทล สถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ร้านอาหาร บลาๆ ดังนั้นเป็นหน้าที่อันใหญ่หลวงของคนที่อยากซ่าไปแบ๊คแพคเองที่จะต้องทำการบ้านศึกษาถนนหนทาง การเดินทางให้ดีๆ อันนี้รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของประเทศชาตินี้และความเป็นมาของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพราะหาป้ายอธิบายที่เป็นภาษาอังกฤษยากมาก บางทีภาษารัสเซียที่เขียนอยู่คู่กันประมาณ 1 หน้า แปลเป็นอังกฤษอยู่ 3 บรรทัด เพราะฉะนั้น ศึกษาไปก่อน เชื่อพี่ พี่เจ็บช้ำมาแล้ว กระซิก
ไปช่วงไหนดี?
‘หน้าหนาว = คนน้อย ประหยัด ฟ้าขาว, หน้าร้อน = สวยพีค คนบาน ร้อนเท่าบ้านเรา’
แนะนำดูอุณหภูมิกับช่วงระยะเวลาของแสงสว่าง (amount of daylight) เป็นหลักในการตัดสินใจ ถ้าคร่าวๆ ฤดูในรัสเซียมีดังนี้
- winter (ธันวา – กุมภา): -20 หนาวชิบหาย น้ำในทะเลสาบแม่น้ำแข็งหมด สถานที่ท่องเที่ยวปิดปรับปรุงเยอะ กลางวันสั้นมาก แต่คนน้อยและถูก
- spring (มีนา – พฤษภา): อบอุ่นในแบบฉบับรัสเซีย อากาศมีได้ตั้งแต่ติดลบเล็กน้อยถึงเลข 2 ตัว แล้วแต่ว่าไปส่วนไหนของประเทศ ต้นไม้จะเป็นแบบกิ่งๆ พยายามสุดติ่งที่จะแตกแบบออกมาจากหน่อ ฝนตกซะครึ่ง คนยังไม่เยอะมาก สถานที่ท่องเที่ยวยังไม่เปิดเต็มที่ (อย่าง Peterhof ในรูปนี่คือ อารมณ์ใครก็ได้ช่วยเปิดน้ำพุที)
- summer (มิถุนา – สิงหา): ช่วงที่รัสเซียสวยที่สุด ร้อนใกล้เคียงกับไทย กลางวันยาวมว๊าก บางช่วงมี white night สว่างตลอดเวลา แต่คนเยอะมาก ค่าทีพักเดินทางก็จะแพงขึ้นตาม demand เด้อ
- autumn (กันยา – พฤจิกา): ใบไม้ร่วง เค้าว่ากันว่าอารมณ์สามารถเป็นได้ตั้งแต่โรแมนติกถึงเหงาๆ อากาศเริ่มหนาว คนน้อยกว่า summer หน่อย
ฉันไปช่วงวันหยุดสงกรานต์ ซึ่งตรงกับ spring เน้นหนาว คนน้อย และถูกเป็นหลัก อาจจะสงสัยว่าถ้าชอบหนาวๆแล้วทำไมไม่ไป winter ไม่เอาอ่ะ กลัวกลายเป็นหมูแช่แข็ง ยังไม่สามารถถึงระดับน๊านนน แต่อย่างที่บอก ไปช่วงนี้ก็เสียตรงที่ว่ามันไม่ได้สวยพีค ฟ้าเน่าซะ 50% อากาศก็แปรปรวนชะมัด ลุ้นกันวันต่อวันเอา
มีอะไรให้เที่ยวบ้าง ไปเมืองไหนดี?
‘โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ ราชวัง คุก’
ใครจะไปรัสเซียเตรียมท่องไว้เลยสามคำ ‘สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม’ (จะให้ท่องสามคำเหมือนกันเพื่อ?) ประเทศนี้เค้าสร้างแต่อะไรใหญ่ๆ เน้นความอลัง ประวัติศาสตร์ยาวนาน ถ้าไม่ได้ไปกับทัวร์แล้วอยากให้คุ้มค่าตั๋วเครื่องบินก็จงเปิด Youtube และไล่ดูสารคดีความเป็นมาของประเทศชาตินี้ซะ ตอนแรกจะสับสนกับชื่อบุคคลเล็กน้อยเพราะกษัตริย์ส่วนใหญ่จะใช้ชื่อโหลแถมบางทีขี้เกียจตั้งใหม่ก็นับต่อกันไป เช่น พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 พระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 บลาๆ แต่เดี๋ยวจะชินไปเองนะเชื่อเจ้ หลังจากซึมซับความเป็นรัสเซียแล้วเวลาไปถึงสถานที่แห่งนั้นคุณจะอินมาก นึกสภาพไปยืนจ้องอาคารเก่าๆหลังหนึ่งโดยที่ไม่รู้อะไรเลยสิ ดังนั้นอ่านไว้จะปลอดภัยกว่า
ทีนี้ถ้าถามว่าแล้วจะไปเมืองไหนดี ถ้ายังไม่ผ่านวิชารัสเซีย 101 มาก่อนขอแนะนำให้ท่านไป 2 เมืองหลักนั่นคือ Moscow เมืองหลวง และ St.Petersburg อดีตเมืองหลวง ซึ่งถ้าไปแค่นี้เอาไปเต็มที่อาทิตย์หนึ่งก็พอ แต่เดี๊ยนดันจองตั๋วเครื่องบินไป 12 วันไง กะใช้วันลาแบบเต็มสตรีมเลยต้องหาทางไปเมืองอื่นด้วย จากการคัดเลือกอันหนักหน่วง อีก 2 เมืองที่ได้รับเลือกได้แก่ Vyborg และ Petrozavodsk เมืองหลังนี่สุดยอดแห่งความประทับใจ ถ้าขี้เกียจอ่านรีวิวเลื่อนไปอ่านแค่วันที่ไปเมืองนี้ก็ได้ อยากนำเสนอ
เตรียมอะไรไปบ้าง?
ข้าวของเครื่องใช้พื้นฐานขอข้าม เอาเด่นๆ เน้นๆ เลยแล้วกัน
- กระเป๋าลาก: เข้าใจว่ามันเป็นทริปแบบแบ๊คแพ็ค แต่ถ้าน้องไม่ได้มีอาชีพเป็นนักกีฬา นั่งโต๊ะจ้องคอมทุกวัน ร่างกายแข็งแรงม๊ากมาก ก็เอากระเป๋าลากไปเถอะ พี่สัญญาว่ามันจะทำให้ชีวิตน้องดีขึ้น 48.9% (พี่แบกมาแล้วตอนไปตุรกี เข่าเกือบพัง) อ๋อ ถ้าไม่ได้ไปช่วงฤดูร้อนปลอดหิมะ โปรดใช้แบบไฟเบอร์กันน้ำเท่านั้นค่ะ
- ยาคลายกล้ามเนื้อกับเค้าท์เตอร์เพน: สาบานว่าได้เดินมาแล้วกว่า 100 กิโลในระยะเวลา 12 วัน ตกเฉลี่ยวันละประมาณ 10 โล เยอะกว่าไปภูกระดึงอีก อยากสบายใจขึ้นอีกระดับก็ฟิตร่างกายมาก่อนซักสามอาทิตย์กำลังดี
- มาม่า อาหารแห้ง สนีกเกอร์: โปรดจดจำไว้ว่า รัสเซียไม่ใช่ฮ่องกง ดังนั้นลืมเรื่องการลิ้มลองสารพันอาหารไปได้เลย คุณจได้รู้รสชาติของการกินเพื่ออยู่โดยแท้จริงและสัมผัสกับขนมปังที่แข็งที่สุดในโลก
- สิ่งที่ช่วยกันฝัน: ถ้าไปช่วงที่เสี่ยงฝนตกต้องเตรียมเสื้อกันหนาวกันฝนได้ ร่ม เสื้อกันฝน อย่างใดอย่างหนึ่งไปด้วยเด้อ เปียกทั้งหนาวๆนี่มันทรมานมากนะ
- mobile application จำเป็น: พิสูจน์ทราบมาแล้วว่ามีดังนี้
- Google Translate: จำเป็นเวลาใช้อ่านภาษารัสเซีย และสื่อสารกับคนรัสเซีย เช่น ให้ช่วยเรียก taxi ไปสนามบิน เป็นต้น อย่าลืมโหลดภาษารัสเซียเก็บไว้เพื่อใช้แบบ offline
- Yandex: แผนที่ Metro ในเมือง Moscow และ St.Petersburg ใช้หาเส้นทางที่ดีที่สุด
- Moscow Metro map: แผนที่ Metro ในเมือง Moscow ใช้เทียบชื่อสถานีในภาษาอังกฤษกับภาษารัสเซีย (ไม่มีป้ายภาษาอังกฤษ)
- Saint-Petersburg Metro map: แผนที่ Metro ในเมือง St.Petersburg
ค่าใช้จ่าย?
’12 วัน 4 เมือง 40,000 บาท’
ถือเป็นทริปที่ถูกเกินคาด ค่าใช้จ่ายต่อคนในหน่วยบาทเป็นดังนี้
- ตั๋วเครื่องบินไปกลับ BKK – Moscow = 25,000
- ตั๋วเครื่องบินไปกลับ Moscow – St.Petersburg = 2,400
- ที่พัก (ตกคืนละประมาณ 300 บาทต่อคน) = 3,000
- รถไฟไปกลับ St.Petersburg – Petrozavodsk = 1,500
- รถไฟไปกลับ St.Petersburg – Vyborg = 350
- ทัวร์ที่ Kizhi = 2,200
- ค่ารถ, กิน, เข้าสถานที่ท่องเที่ยว, ของฝาก = 6,000
แนะนำให้ประเมินค่าใช่จ่ายแล้วไปแลกเงิน RUB ที่ Superrich สีเขียวให้พอดีใช้ให้หมด เอามาแลกกลับเป็นเงินไทยไม่ค่อยคุ้ม (ณ.ตอนที่ไปอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 RUB (รูเบิล) = 0.49 บาท) แล้วแลกดอลล่าร์หรือยูโรไปเผื่อซักเล็กน้อยก็พอ
พร้อมกันแล้วก็ลุยกันเถอะ
ทริป 12 วันของเรา ลากยาวตั้งแต่ 6-17 เมษา 2016 มีแผนการท่องเที่ยวคร่าวๆดังนี้
- 6/04 นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพไป Moscow ต่อเครื่องที่ Novosibirsk หนึ่งคืน
- 7/04 บินต่อจาก Moscow ไปถึง St.Petersburg ช่วงบ่าย เดินเที่ยวในเมือง
- 8/04 เที่ยวใน St.Petersburg และขึ้นรถไฟนอนไป Petrozavodsk
- 9/04 เที่ยวใน Petrozavodsk (Kizhi) และค้างหนึ่งคืน
- 10-12/04 กลับมาเก็บตกใน St.Petersburg
- 13/04 นั่งรถไฟไปเที่ยว Vyborg แบบเช้า-เย็นกลับ
- 14-15/04 บินมาเที่ยวที่ Moscow
- 16-17/04 บินกลับกรุงเทพ ต่อเครื่องที่ Novosibirsk
โดยมีฉันเป็นหัวหน้าทริปและคุณสำลีเป็นช่างภาพ อิอิ
Day 1 (6/04): เริ่มต้นการเดินทาง
พวกเราเดินทางไปรัสเซียด้วยสายการบิน Siberian Airlines หรือ S7 ซึ่ง Skyscanner บอกว่าราคามันถูกสุดคือ 19,000 บาท แต่ทว่าเมื่อซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม ราคามันดันเพิ่มไปเรื่อยๆ โดนอัตราแลกเปลี่ยนและค่าความเสี่ยงการแปลงสกุลเงินจากการรูดบัตร สนนราคาสุทธิที่ 25,000 บาท ช้ำเลย แต่ mobile application มันสุดยอดมาก สามารถเข้าไปเลือกที่นั่งดู status โน่นนั่นนี่ เป็นปลื้มค่ะ เท่าที่รู้น่าจะมี Aeroflot, Vietnam Airlines, Transaero ที่มีเที่ยวบินจากไทยไปรัสเซีย ไม่แน่ใจว่าป้าเอื้องยังบินไปอยู่หรือเปล่า ต้องลองเช็คดู
จุดเด่นของ S7 คือความเขียวเยี่ยงตั๊กแตน
ตอนเช็คอิน พนักงานโทรบอก ต.ม. ว่ามีคนไทย 2 คนกำลังจะไปรัสเซีย มีตั๋วกลับแล้ว เลยถามว่าต้องโทรด้วยหรอ พนักงานบอกว่ามีคนไทยไปน้อยมาก ฝั่งนู้นอาจจะเรียกดูหลักฐานว่ามาเที่ยวจริง ให้เตรียมพวก booking โรงแรมและแผนการท่องเที่ยวไว้ให้ดี
ตามคาดการณ์ คนรัสเซียเต็มลำ เด็กเยอะมาก มีตั้งแต่เบบี๋จนถึงวัยแก่นกะโหลก กลัวมันร้องอย่างเดียว
บินช็อตแรก 7 ชั่วโมงครึ่ง จากกรุงเทพสู่ Novosibirsk (อ่านว่า โนโวซีบีสสสส) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในแถบไซบีเรีย ถ้าใครบิน S7 มันจะมาเปลี่ยนเครื่องที่นี่ เป็นศูนย์บัญชาการมันเลย เนื่องจากคราวที่แล้วบินกาต้าร์ เลยมโนไปว่าขึ้นเครื่องปั๊บจะดูหนังให้ฉ่ำซัก 2 เรื่องค่อยนอน เจอ in-flight entertainment ของ S7 แล้วถึงกับสะอึก
มีนิตยสารให้ 1 เล่ม ภาษารัสเซียล้วน …
ปลั๊กไฟให้ชาร์ตอย่าหวัง ดังนั้นอย่าลืมพาวเวอร์แบงค์ …
ประกาศในเครื่องบินจะเป็นภาษารัสเซียคู่กับภาษาอังกฤษที่ฟังซักพักจะ อ๋ออออ มันพูดอังกฤษ ลางร้ายเรื่องภาษามาแต่ไกล เครื่องขึ้นไปซัก 2 ชั่วโมงจะเริ่มเสิร์ฟอาหาร ส่วนใหญ่จะมาเป็นเสต็ป น้ำ -> อาหาร -> ชา กาแฟ ปิดท้าย อาหารจะมาพร้อมกับขนมกล่องใหญ่ รสชาติใช้ได้เลย
คนรัสเซียจะอยู่ไม่ค่อยสุข เด็กวิ่งเล่นตามทางเดิน ส่วนผู้ใหญ่ก็ยืนคุยกันเหมือนไม่ได้อยู่บนเครื่องบิน in-flight entertainment อะไรไม่ต้อง คุณแม่แถวหน้าควักสมุดระบายสีเจ้าหญิงออกมาพร้อมสี 1 กล่อง ข้างๆควัก kindle ขึ้นมาอ่าน นี่มันสังคมแห่งการเรียนรู้ชัดๆ พอดีคุณสำลีโหลดสารคดีผู้นำรัสเซียใส่มือถือมาเลยดูฆ่าเวลาจนเกือบจะเป็นญาติกับสตาลินแล้ว ก็ได้เวลาเครื่องลง คนปรบมือกันเกรียวกราว (เป็นธรรมเนียมของคนรัสเซีย เราคนไทย = ปรบมือตาม ฮิ้ววว กุได้ลงแล้ววววว)
ผ่าน ต.ม. ที่นี่ เค้าอาจถามหาวีซ่าให้ตอบ No แล้วเตรียมหนังสือความตกลงร่วมกันว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราระหว่างไทยกับรัสเซียไปด้วย เชิญโหลดดด
เครื่องออกจากไทยประมาณบ่าย 2 ถึง Novosibirsk ประมาณ 3 ทุ่ม (เวลาจะช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) เครื่องออกไป Moscow อีกที 7 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น เวลา transit ประมาณ 10 ชั่วโมง ตอนแรกว่าจะนอนสนามบินเพื่อความประหยัด โรงแรมที่อยู่ติดสนามบินก็แสนแพง หาไปหามาเจอโฮสเทลในอยู่ไม่ไกลนักแต่จะให้เดินคงไม่ไหว ต้องไปค้นรีวิวของชาวรัสเซีย เอา Google Translate แปลก็ได้ความว่า มันมีรถเมล์จากสนามบินไป สาย 111 ซึ่งจะจอดอยู่หน้า terminal A (คือ international flight จะลงที่ terminal B แล้วตอนแรกไม่รู้ ออกมายืนจองลานจอดรถโล่งๆแบบเอ๋อๆอยู่พักนึง)
เดินทางในประเทศนี้ แนะนำให้ปริ๊นท์ที่อยู่ แผนที่ ให้เรียบร้อย ยื่นให้คนขับรถแล้วเค้าจะพาท่านไปยังจุดหมายได้เอง ค่ารถเพียง 38 RUB เท่านั้น (19 บาท)
ตอนจอดคนขับรถชี้โบ้ชี้เบ้ไปฝั่งตรงข้ามถนน เห็นอพาร์ทเม้นท์เยอะๆ มโนว่ามันคงใช่ แต่ขณะที่เอ๋อว่าจะข้ามไปอีกฝั่งยังไง คุณสำลีผู้เฉลียวฉลาดก็หาอุโมงค์ลอดไปได้ทันที
มีน้ำขังด้วย ให้อารมณ์ประหนึ่งหนังแอ๊คชั่นอย่างบอกไม่ถูก
เดินงมอีกไม่ไกลก็หาเจอ Hostel Obskoi ดูข้างนอกนี่น่ากลัวพอสมควร
คนดูแลอย่างสวย แต่พูดปะกิตไม่ได้เลย ใช้ Google Translate สื่อสารเอาให้เค้าช่วยเรียก taxi ไปสนามบินให้ตอนเช้า ที่เหลือก็ลุ้นเอาว่าจะได้ไหม
ที่พักค่อนข้างดี แทบไม่มีคนเลย มีล็อกเกอร์ขนาดมหึมาให้ด้วย แต่กระเป๋าลากพวกเราทรานซิทไป Moscow อัตโนมัติ เลยแทบจะไม่ได้ใช้ล็อกเกอร์
มีครัวให้พร้อม
จัดการต้มมาม่าประทังชีวิตซะ
ในรัสเซียห้องน้ำและห้องอาบน้ำจะอยู่คนละห้อง น้ำร้อนแรง สบายยย
แต่ในห้องร้อนเกิ๊น ปรับฮีทเตอร์กันไม่เป็น ใช้วิธีแง้มหน้าต่างเอา หนาวเลย
ผ่านไป 1 คืน
Day 2 (7/04): ร่อนเร่ใน St.Petersburg
จุดมุ่งหมายของวันนี้คือการไปให้ถึง St.Petersburg ให้ได้ ยังต้องบินอีกหลายต่อสินะ
ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน คุณสำลีอาบน้ำ เป็นอะไรของนาง ต้องอาบน้ำทุกวันเช้าเย็น อยู่รัสเซียนะพี่ หนาวจะตายชัก
Google Translate ช่วยคุณได้จริงๆ คนดูแลนอนรออยู่พร้อมเรียกแท็กซี่ให้ (จริงๆคงเป็นเพื่อนนาง) 120 RUB เท่านั้น ส่งถึงหน้าสนามบินเลย
ตั๋วได้มาตั้งแต่กรุงเทพแล้วก็เดินเข้าเกทเลย ผ่านเข้าไปปั๊บ หันกลับมาคุณสำลีหาย เห็นโดนเจ้าหน้าที่ต้อนไป ตกใจนึกว่าเอาแฟนนู๋ไปทำอะไรในยานอวกาศลำนั้น อ่านข้างๆมันคือเครื่องสแกนแบบเร่งด่วน Express Inspection สงสัยหน้าตาไม่น่าไว้วางใจแน่ๆ
คราวนี้บินจาก Novosibirsk ไป Moscow ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง in-flight entertainment ยังเป็นนิตยสารภาษารัสเซียเล่มเดิม (ถ้าอ่านออกคงอ่านจบไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว) แต่ที่ประทับใจคือมันมีอาหารน่าตาดูดีเสิร์ฟ เป็นพาสต้ากับเนื้อ
ไม่ทันนอนก็บินถึง Moscow ที่สนามบิน Domodedovo (DME) นอกจากนี้ที่ Moscow ยังมีหลายสนามบินที่เป็น International Airport ได้แก่ Sheremetyevo (SVO) และ Vnukovo (VKO) อย่าลืมดูด้วยว่าลงที่ไหนเด้อ
มาถึงที่นี่ไม่ต้องผ่าน ต.ม. แล้ว ไปรอรับกระเป๋าและเอามาเช็คอินใหม่ ในการเดินทางไป St.Petersburg เราก็ยังคงใช้บริการ S7 อยู่ สนนราคาอยู่ที่ 1,500 บาทแพงกว่าขากลับด้วย Aeroflot ซึ่งตกมาได้ 900 บาท รวมไปกลับ 2,400 บาทต่อคนก็ถือว่าไม่เลวร้ายอะไรนัก มีอีกวิธียอดนิยมคือไปทางรถไฟ ออกจาก Moscow ดึกๆถึง St.Petersburg ตอนเช้าแล้วเที่ยวเลย จริงๆราคาไปกลับไม่น่าจะต่างจากไปเครื่องบินมาก แต่จะไม่ต้องเสียค่าโรงแรมไปสองคืน ส่วนกระเป๋าก็หาฝากเอาตามสถานีรถไฟ
อันนี้ขอเก็บพลัง ไปเครื่องบินก่อน สำหรับรถไฟนอนเดี๋ยวจะไปรีวิวตอนนั่งจาก St.Petersburg ไป Petrozavodsk อยู่แล้ว รับรองว่าจะเผยวิธีการจองรถไฟแบบถูกที่สุดโดยไม่ผ่านเอเจนซี่ ทำมาแล้ว อิอิ
มีแซนวิชให้รองท้องเบาๆ 1 ชิ้นพร้อมชา กาแฟ บินแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึง St.Petersburg ที่สนามบิน Pulkovo (PKO) ในที่สุด
สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกเมื่อลงเครื่องคือการปรับเวลา (หากยังไม่ได้ทำที่ Moscow) เวลา Moscow และ St.Petersburg จะช้ากว่าไทยอยู่ 3 ชั่วโมง แปลว่า ขากลับมาไทยเตรียมตัวพบกับความลำบากในการแหกขี้ตาตื่นไปทำงานได้เลย
อันดับที่สองคือซื้อซิมมือถือ การสามารถใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์หาคนอื่นได้เป็นสิ่งโคตรจะจำเป็นในการเที่ยวที่ประเทศชาตินี้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการโทรหาเจ้าของโฮสเทล โทรหาทัวร์ ใช้อินเตอร์เน็ตหาเส้นทางต่างๆ ไม่เวิ้นเว้อมาก ขอแนะนำยี่ห้อ Beeline ร้านเหลืองดำเหมือนผึ่ง หาในสนามบินไม่ได้ก็มาซื้อในเมืองเยอะแยะ เดินเข้าไปบอกว่า all Russia คือเอาไปใช้ได้หมดทุกเมืองในรัสเซีย แล้วจ่ายไป 200 RUB แพงกว่านี้ไม่เอา อย่าลืมให้พนักงาน register ให้ด้วย จริงในซิมมันจะมีเงินติดมาอยุ่แล้ว ถ้าเงินหมดก็เติมได้ง่ายๆด้วยเจ้านี่ (ให้พนักงานทำให้นะ ภาษารัสเซียล้วน ไม่สามารถจริงๆ)
ไปมา 12 วัน จ่ายค่าซิมไป 200 RUB เติมอีก 200 RUB รวมเป็น 400 RUB แต่ช่วยชีวิตไว้ได้หลายครั้ง ซื้อเถิด
จากสนามบินไปในเมืองไม่ยาก ถ้าไม่นับแท็กซี่ สามารถเลือกขึ้นรถบัสสาย 39, Express city bus สาย 39Э หรือเร็วสุดคือ Minivan Taxi สาย K39 ราคา 40 RUB เป็นเหมือนรถตู้ ซิ่งแบบ fast & furious มาที่ Metro โดยใช้เวลาแค่ 10 นาที
ขอแนะนำ Metro ขอเมือง St.Petersburg กันซักเล็กน้อย ระบบ Metro ที่นี่จะง่ายๆไม่ซับซ้อนเหมือนของ Moscow มีอยู่แค่ 5 สาย ไม่ว่าจะขึ้นจากที่ไหนก็จะเสีย 35 RUB เท่ากัน ที่เห็นเป็นรูปรถไฟสีดำๆคือสถานี Metro ที่ต่อกับสถานีรถไฟรางเวลานั่งไปเมืองอื่น
สถานี Metro ที่รถไปส่งคือ สถานี Moskovskaya (สายสีน้ำเงิน) จากนั้นท่านก็หาทางไปที่พักต่อได้เลย
ที่พักที่พวกเราจองไว้ตั้งอยู่บนถนน Nevsky Prospekt (พยายามจองให้อยู่บนหรือใกล้ถนนเส้นนี้เพราะสถานที่ท่องเที่ยวจะกระจุกตัวอยู่ที่ละแวกนี้) เป็นที่พักยอดฮิตของคนไทยที่ไปแบ๊คแพ๊คในรัสเซีย ชื่อ Friends Life หรือ Hostel Life
ลงที่สถานี Moskovsky (สายสีเขียว) จะใกล้สุด แล้วเดินตามลูกศรสีแดงไปเลย ทางเข้าอยู่ตรงที่วงไว้ที่ถนน Vladimirsky
สภาพห้องค่อนข้างดีสำหรับราคาคืนละ่ 600 บาท จริงๆนอนได้ 3 คนสบายๆ
ห้องน้ำใหญ่โต แบ่งเป็นโซนห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ อ่างล้างหน้าชัดเจน มีไดร์เป่าผม เตารีด เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ (ครั้งละ 100 RUB ผงซักฟอกฟรี) เสร็จปุ๊บก็ตากมันตรงราวตากผ้าในห้องน้ำหรือเอาไปตากในห้อง
มี pantry ไว้นั่งกินข้าวพร้อมดูหนังภาษารัสเซียไปด้วย พร้อมไมโครเวฟและตู้เย็น น้ำฟรีแต่รสชาติน้ำประปามาก ทิ้งไว้เกินวันมีบูด แนะนำให้ไปซื้อน้ำขวดใหญ่ๆในซูเปอร์มาเก็ทมาตุนไว้จะดีกว่า
นอกจากน้ำร้อนที่ชอบร้อนบ้างเย็นบ้างกับฝักบัวพังๆ ที่เหลือจัดว่าอยู่ในระดับเยี่ยมยอด ทั้งตำแหน่งที่ตั้ง ขนาดห้อง ความสะดวกสบาย อัธยาศัยของเจ้าหน้าที่ ที่เจ๋งสุดคือฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ได้ตอนที่พวกเราแว๊บไป Petrozavodsk (แต่แน่นอนว่าต้องกลับมาพักกับเค้าต่อ)
แม้ตอนรอเปลี่ยนเครื่องที่ Moscow ฝนตกแบบไม่ลืมหูลืมตาจนใจแป้ว แต่พอถึง St.Petersburg ปั๊ปฟ้าเปิด แสงมา รีบโยนกระเป๋าเข้าห้องพัก คว้ากล้อง แล้วถลันออกไปเที่ยวทันที แต่ก่อนอื่นขอเล่าถึงเมือง St.Petersburg ซักนิด
St.Peterburg สร้างโดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช (กษัตริย์รัสเซียเรียกว่าพระเจ้าซาร์ มาจากซีซาร์) เนื่องจากสภาพภูมิประเทศดินเลนทะเลจึงสร้างเมืองด้วยการถมทรายและหินเป็นจำนวนมาก สังเวยชีวิตคนงานไปมากพอๆกับสงครามครั้งหนึ่ง ซาร์ปีเตอร์ทรงไปยึดที่ตรงนี้มาจากสวีเดนและเลือกที่จะสร้างเมืองที่บริเวณนี้เพราะว่าตัวเมืองมีทางออกทะเลบอลติกและสามารถติดต่อไปทางยุโรปและประเทศอื่นๆได้ง่าย เพื่อการปฏิรูปรัสเซียให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป เมือง St.Petersburg จึงได้รับสมญานามว่าหน้าต่างแห่งยุโรป และได้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิรัสเซียเป็นเวลา 206 ปี (หลังจากนั้นได้ย้ายเมืองหลวงกลับไปที่ Moscow) ปัจจุบัน St.Peterburg เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัสเซีย และเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก
ความแตกต่างของ St.Petersburg กับ Moscow คือ คนที่นี่แต่งตัวเหมือนอยู่เดินอยู่บนแคทวอล์คและจะเป็นมิตรมากกว่า Moscow ตามถนนหนทางจะมีภาษาอังกฤษคู่กับภาษารัสเซีย ถ้าอยากค่อยๆปรับตัวให้มาเที่ยว St.Petersburg ก่อนไป Moscow เด้อ
รายการเที่ยวแรกของพวกเราคือ การเดินเที่ยวบนถนน Nevsky Prospekt
ยืดเส้นยืดสายแล้วเดินตามไกด์มาเลย ไกด์ศึกษามาเป็นอย่างดี โปรแกรมทัวร์นี้ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง เริ่มเดินจากโฮลเทลขึ้นไปตามแผนที่ถึงจุดที่หนึ่ง
1. Anichkov bridge
เป็นสะพานแห่งแรกที่สร้างข้ามแม่น้ำ Fontanka และเป็นสะพานที่มีชื่อเสียงที่สุด ที่หัวสะพานทั้ง 4 มุมมีรูปปั้น Horse Tamer มีอิริยบถที่แตกต่างกันไป
พอไกด์อธิบายจบปุ๊บ คุณสำลีถามทันทีว่า ทำไมคนเลี้ยงม้านุ่งแค่ผ้าปิดจุ๊จุ๊หนึ่งชื้น ไม่กลัวม้างับหรอ เอิ่ม กุจะรู้วม้าย ช่วยถามให้ไกด์ตอบได้นิดส์นึง
2. Catherine the Great Monument
ซารีน่าแคทเธอรีนที่ 2 ทรงพระเก่งและครองราชย์ยาวนานมาก จนได้มหาราช (The Great) มาครอง พระนางดำเนินรอยตาม พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช ผู้สร้างเมือง St.Petersburg ปฏิรูปรัสเซียให้เข้าสู่ความทันสมัยตามแบบฉบับชาติยุโรปตะวันตก นอกจากนี้ยังทรงขยายดินแดน พัฒนาเรื่องการศึกษา และศิลปะวัฒนธรรม ในยุคของพระนางถือว่าเป็นยุคทอง เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของจักรวรรดิรัสเซีย ที่น่าสนใจคือ พระนางเป็นชาวปรัสเซียหรือชาวเยอรมัน แต่ทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้าปีเตอร์ที่ 3 หลานของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช (งงชื่อแล้วยัง) ซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานโดยคุณน้าของพระนางแคทเธอรีนที่ 2 เอง เงิบ
3. Dumskaya Clock Tower
คือไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรดี บอกให้คุณสำลีถ่ายๆมา (อ้าว ไกด์ปลอมนี่หว่า)
4. Singer Building
ยีห้อจักรของแม่ๆนั่นแล เดิมเคยเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทซิงเกอร์รัสเซีย แรกเริ่มทางบริษัทอยากสร้างตึกให้สูงระฟ้าแบบเดียวกับตึกซิงเกอร์ใน New York แต่เมือง St.Petersburg มีกฏหมายห้ามสร้างตึกสูงเกิน 22 เมตรในเขตตัวเมือง เพื่อไม่ให้บดบังสถานที่สำคัญและเก่าแก่ของเค้า ตึกซิงเกอร์ที่นี่จึงเป็นตึกสูง 7 ชั้นโดยชั้นบนสุดมีลักษณะกลมและสร้างจากแก้ว ปัจจุบันภายในเป็นร้านอาหาร Cafe Singer และมีร้านขายหนังสือ (บางทีก็ไม่เข้าใจว่าสายไฟมันจะเยอะไปไหน)
5. Kazan Cathedral (Каза́нский кафедра́льный собо́р)
โบสถ์นิกาย Orthodox (นิกายประจำชาติของรัสเซีย) สไตล์นีโอคลาสสิคที่มียอดโดมสูงถึง 90 เมตร สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงชัยชนะที่มีต่อฝรั่งเศส ในช่วงการปกครองของซาร์อเล็กซานเดอร์ จักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศสยกกองทัพที่ชนะมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเดินทางเข้ามายึด Moscow ไว้ได้ ชาวรัสเซียเห็นว่ามายึดได้ใช่ไหม เผาทิ้งแม่ม ประกอบกับเข้าช่วงฤดูหนาวพอดี กองทัพฝรั่งเศสเลยซวยผจญอุณหภูมิ -20 องศาโดยที่ไม่มีอะไรจะกิน ผลปรากฎว่าแพ้ค่ะ กลับบ้าน จากพลทหาร 450,000 นาย เหลือถึงฝรั่งเศสอยู่แสนหนึ่ง เงิบค่ะ
ด้านหน้ามีรูปปั้นของนาลพลที่สั่งการรบในครั้งนั้นตั้งอยู่ด้วย ข้างในเข้าชมฟรีทุกวัน แต่ต้องใส่เสื้อผ้าเหมาะสม (ขายาว ผู้หญิงมีผ้าคลุมผม ผู้ชายห้ามใส่หมวก) ห้ามถ่ายรูป
ปอลิง ถ้ามีภาษารัสเซียจะพยายามแปะไว้ให้ เผื่อเอาไปถามทางค่ะ
6. Church of the Saviour on Spilled Blood(Церковь Спаса на Крови)
เวลาทำการ: 11:00-18:00 ปิดทุกวันพุธ ขายบัตรถึง 17:30 (หน้าร้อนน่าจะขยายเวลาทำการ)
โบสถ์ชื่อโหดแห่งนี้สร้างโดยพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงการสวรรคตของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 พระราชบิดาซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์โดยกลุ่มปฎิวัติด้วยระเบิดในจุดนี้ (เป็นที่มาของชื่อ on Spilled Blood) ตอนแรกโยนระเบิดใส่รถม้า แต่รถม้ากันกระสุน ซาร์ออกมาจากรถม้าได้ แต่โดนระเบิดพลีชีพไปอีกลูกเลยไม่รอด ไปเสียชีวิตที่พระราชวังฤดูหนาว (The Hermitage) ในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์อยู่หลายครั้ง ทรงเจอมาหมด ไม่ว่าจะเป็นระเบิดในขบวนรถไฟ มือปืนฉายเดี่ยวไล่กวดพระองค์ไปตามถนน บลาๆ (ชีวิตซาร์ก็น่าสงสารเหมือนกัน) สาเหตุหนึ่งคือทรงเลิกทาส อีกสาเหตุคือมีคนส่วนหนึ่งอยากล้มล้างระบบซาร์ อันนี้รวมไปถึง อเล็กซานเดอร์ อูลยานอฟ พี่ชายของวลาดีมีร์ เลนิน (ผู้นำคนแรกของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต หลังการล้มล้างระบบซาร์) ซึ่งร่วมกับกลุ่มนักศึกษา ทำระเบิดยัดใส่หนังสือเรียนตั้งใจจะปาใส่ซาร์ แต่ตำรวจลับรัสเซียรู้ก่อนเลยถูกจับขังคุกและนำไปแขวนคอในที่สุด เดี๋ยวเราจะได้ไปดูห้องขังพี่ชายเลนินในวันถัดๆไปด้วย
เห็นข้างในโบสถ์แล้วต้องบอกว่าให้รีบเสีย 250 RUB แล้วเข้าไปดูด่วน ผนังเพดานทั้งหมดคือโมเสคอันเล็กๆมาต่อกันเป็นรูปพระเยซูในเหตุการณ์ต่างๆ ขอย้ำ โมเสคทั้งหมด แล้วเพดานก็สูงอย่างมีนัยยะสำคัญ แม่เจ้าโว้ย ช่างมีความอดทน
ฝ้าเพดาน อย่างอลัง
canopy (บุษบก) คือจุดที่ซาร์โดนบอมบ์ ประดับด้วยหินมีค่าจากเทือกเขาอูราลและอัลไต
7. Alexander Column
ดูนาฬิกาแล้วยังเหลือเวลาอีกพอสมควรกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน (ประมาณ 2 ทุ่ม) เลยเดินมั่วไปเรื่อยๆจนไปเจอประตูคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหน
ลอดไปเจอ Palace Square แล้วร้องอ๋อเลยตรงนี้มีพิพิธภัณฑ์อันลือชื่อ State Hermitage Museum ตั้งอยู่ (เดี๋ยวมาแน่ๆ) แล้วก็มีเสาขนาดมหึมาสูง 47.5 เมตร (มันทำอะไรเล็กๆไม่เป็นใช่ไหม) อยู่ข้างหน้าชือ Alexander Column สร้างถวายพระเกียรติแด่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ที่พระองค์ทรงชนะสงครามเหนือนโปเลียนของฝรั่งเศส เหตุผลเดียวกับที่สร้าง Kazan Cathedral เลย เป็นเสาแห่งชัยชนะที่สูงที่สุดในโลก ทำจากหินแกรนิตแท่งเดียวที่ยกมาจากอ่าวฟินแลนด์ อุตสาหะแท้
ตึกครึ่งวงกลมสีไข่ไก่ด้านหลังเป็น General Staff Building เป็นที่จัดแสดง อ้าร์ต เก็บไว้เข้าพร้อมกับ State Hermitage Museum
ลานกว้างตรง Palace Square ถือเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจชั้นดีของคนเมืองนี้ อากาศดีๆวัยรุ่นชวนกันมาออกกำลังกาย คู่รักมานั่งสวีท ส่วนครอบครัวก็พากันมาปิกนิก
มีรถม้าชมเมืองด้วยเผื่อใครอยากเป็น Cinderella
หรือไม่ก็ลองนั่งแท็กซี่ BMW สุดไฮโซก็ไม่ว่ากัน
8. ชมพระอาทิตย์ตก
ลำดับต่อไปคือการไปชมพระอาทิตย์ตกริมฝั่งแม่น้ำเนวา ไปเตรียมตั้งกล้องบนสะพานท่ามกลางลมหนาวอย่างกระหยิ่มใจ อุปกรณ์พร้อม ฟ้าเป็นใจ แต่ดันไปผิดตำแหน่ง ที่ๆเหมาะจริงๆคืออีกสะพานทางขวาบริเวณที่มีลูกศรใหญ่ๆชี้อยู่ กว่าจะรู้คือเข้าสู่ช่วงทไวไลท์แล้ว เดินไปไม่ทัน เอาเท่าที่ได้ไปก่อน เดี๋ยวแบบสวยเอามาฝากวันหลัง
จบทัวร์แล้วท้องร้อง เดินลากขาไปหาอาหารกิน ได้ร้านข้าวแกงรัสเซียแถววิหารหยดเลือดช่วยชีวิตไว้ สั่งไม่ค่อยถูก ดูราคาแล้วจิ้มๆเอา ถ้าเป็นพวกเนื้อสัตว์ราคาจะเป็นต่อ 100 กรัม พนักงานจะเอาไปชั่งแล้วเขียนราคามาให้ ซอสมี พนักงานจะปั๊มให้และคิดเงิน สิริรวมมื้อนี้ 386 RUB/2 คน อิ่มหน่ำสำราญกันไป
ใช้ Google translate ส่องใบเสร็จดูว่าอะไรที่มันแพง
ก่อนกลับที่พัก เดินหาซูเปอร์มาร์เก็ตสำหรับซื้อขนมตุนไว้สำหรับไป Peterhof พรุ่งนี้ ขอแนะนำร้านนี้ คุณสำลีตั้งชื่อให้ว่า ร้าน 5 บาท (ไม่เกี่ยวอะไรกับจำนวนเงิน แค่มันมีเลข 5)
เพราะมันถูกไปหมดพวกเราเลยหมดเงินกับการซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตค่อนข้างมาก หลายพันรูเบิ้ลอยู่ เรียกได้ว่าเข้าไปหาอะไรใหม่ๆกินเล่นทุกวัน รวมถึงเบียร์และวอดก้าราคาถูก ชะอุ้ย
ปิดท้ายด้วยบรรยากาศยามเย็นสไตล์ St.Petersburg
กลับมาถึงโฮสเทลแล้วต้องมองหายาคลายกล้ามเนื้อทันที รู้สึกระบมไปทั้งท่อนขา (ใช้เรียวขาแล้วอาจจะดูบางเกินจริง) คุณสำลียังคงเชียร์ลิเวอร์พรุนไม่หลับไม่นอน ไม่ยอมออกไปดูกับชาวรัสเซียที่ pantry ด้วย คนละภาษากัน
Day 3 (8/04): เยี่ยมชม Peterhof
ตื่นมาเก็บกระเป๋าแต่เช้าด้วยความระบมรวดร้าว แล้วรีบไปอาบน้ำ ที่ต้องอาบน้ำเช้านี้เพราะตอนเย็นเราจะขึ้นรถไฟนอนไป Petrozavodsk ไม่งั้นไม่มีทางให้น้ำสัมผัสตัวหรอก ยากส์ จัดการเช็คเอ้าท์แล้วฝากกระเป๋าใหญ่ไว้กับโฮสเทลเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกผจญภัยกัน
ฝนตกหนักพอสมควรเลยไม่สามารถเดินทอดน่องหาอาหารเช้าได้สมใจนึก เห็นร้านเคบั๊บอยู่ไม่ไกลก็เข้าๆไป สั่งไป 2 อัน 310 RUB กินเข้าไปคำแรกแทบกลอกตา อย่าหวังว่าจะอร่อยเหาะเหมือนที่กินที่ตุรกี
วันนี้เราจะไป Peterhof กันเลยขอเล่าความเป็นมาคร่าวๆก่อน
พระราชวังฤดูร้อน Peterhof เป็นที่ที่ใครมา St.Petersburg ก็ต้องมาเยือน สร้างโดยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ซาร์องค์แรกแห่งราชวงศ์โรมานอฟ เปรียบประดุจเป็นพระราชวังแวร์ซายน์ของรัสเซีย (พระเจ้าปีเตอร์มีแรงบันดาลใจมาจากพระราชวังแวร์ซายน์ของจริง) จุดเด่นอยู่ที่สวนอันอลัง น้ำพุงดงามสุดบรรยายที่เชื่อมต่อกับทะเล อยู่ห่างตัวเมือง St. Peterburg ไปประมาณ 29 กิโลเมตร
ก่อนอื่นมาดูวิธีไปกันก่อน
วิธีแรก ไฮโซโก้เก๋แต่ต้องมีสตางค์ คือการไปทางเรือ hydrofoils จ่าย 700 RUB ได้เทียบท่าหน้าวังเลย ใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งชั่วโมง ตั้งแต่ 10:00-18:00 แต่ไปได้เฉพาะช่วงหน้าร้อน
วิธีชนชั้นธรรมดา คือการใช้บริการรถเมล์หรือรถตู้ จ่ายเพียง 70 RUB ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ที่ตัวรถจะเขียนว่า Peterhof (Петергоф) หรือ Fountain (Фонтаны) ขึ้นได้จากหลายสถานี Metro แล้วแต่สะดวก ได้แก่
- สถานี Avtovo: รถเมล์สสาย 200, 210 รถตู้สาย 224, 300, 424, 424-A
- สถานี Leninskiy Prospekt: รถตู้สาย 103 (K-224), 420
- สถานี Prospekt Veteranov: รถตู้สาย 343, 639
- สถานี Baltiyskaya: รถตู้สาย 404
นั่งอุ่นๆในรถ ฝนตกพร่ำๆ ฉันเลยหลับคอพับตามระเบียบ สะดุ้งตื่นอีกทีตอนคุณสำลีเขย่าเพราะโทรศัพท์ดัง ปรากฎว่าไกด์จาก Petrozavodsk โทรเข้ามาเพื่อนัดหมายเวลาเจอกันในวันรุ่งขึ้น พูดภาษาอังกฤษดีเกินคาดเลยค่อยใจชื้นขึ้น
และแล้วเราก็มาถึง Peterhof เอิ่ม ฝนตก ฟ้าครึ้ม วังเวงไปป้ะ
เวลาทำการ: 10:30-17:00 วันเสาร์เปิดถึง 20:00 ปิดวันพุธ
แม้แต่คนสวนที่กำลังจัดสวนเตรียมวังให้พร้อมเปิดหน้าร้อนยังหันมามองประมาณไอ้สองตัวนี้มากันทำม้ายยยฤดูนี้ แต่คุณสำลีพยักหน้าสั่งลุย เอาวะ จินตนาการว่าต้นไม้ผลิบานสะพรั่ง
อากาศก็หนาว ฟ้าก็เน่า เลยตัดสินใจควักเงิน 600 RUB เข้าไปชมวัง Grand Palace หลบฝนก่อน เจอทัวร์จีนกับแก๊งเด็กรัสเซียมาทัศนศึกษาคิดแบบเดียวกัน ในวังเลยอุ่นหนาฝาคั่งทีเดียว (ภาพนี้ถ่ายตอนฟ้าหลังฝน อิอิ)
Grand Palace เริ่มสร้างสมัยซาร์ปีเตอร์มหาราชแบบเรียบง่ายดีโซน์ Barogue ต่อมาในรุ่นลูก ซารีน่าอลิซาเบธ ทรงขยายทั้ง Grand Palace สวนกับส่วนน้ำพุและจ้าง Bartolomeo Rastrelli มาตกแต่งเพิ่มเติมสไตล์ Neoclassic ซึ่งเน้นความเยอะ เว่อร์ มีอะไรทองๆก็ใส่เข้าไป จนในความเห็นของฉันมันดูรกไปหมด ตอนเดินชมวังตามห้องต่างๆจะมีป้ายอธิบายสไตล์การตกแต่งของแต่ละห้อง ภาษารัสเซียยาวเหยียดมีภาษาอังกฤษอยู่ 3 บรรทัด และห้ามถ่ายรูปจ้า
รัชกาลที่ 5 ของเราเคยประทับที่พระราชวังแห่งนี้ โดยมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายคู่กับซาร์นิโคลัสที่ 2 ที่วังแห่งนี้ ส่วนซาร์นิโคลัสที่ 2 เองก็เคยเสด็จไปไทยเหมือนกันครั้งยังเป็นพระราชกุมาร ความสนิมสนมกับราชวงศ์โรมานอฟในยุคนั้น ทำให้เราไม่ตกเป็นเมืองอาณานิคมในยุคล่าอาณานิคม และยังเป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่ต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศรัสเซียในปัจจุบันอีกด้วย ถือว่ารัชกาลที่ 5 ทรงพระเฉียบคมยิ่งนัก
ครั้งหลายสถานที่สำคัญใน St.Petersburg ถูกนาซีเยอรมันทำลายในช่วงครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 Peterhof เป็นแห่งแรกที่ได้รับการฟื้นฟู คณะรัฐบาลไทยก็ส่งเงินมาช่วย 210 ล้านบาท (ซี๊ดดดดดดดด) เนื่องในโอกาสครบรอบ 110 ปีความสัมพันธ์ไทย-รัสเซียเช่นกัน สำหรับการบูรณะปีกซ้ายที่รัฐกาลที่ 5 ของเราเคยไปพักอยู่
แม้ภายในตัวพระราชวังจะเยอะไปหน่อยแต่ต้องขอบคุณซารีน่าอลิซาเบธที่ปรับปรุงระบบน้ำพุจนงดงามกลายเป็นที่โจษจันไปทั่งยุโรป สวนของ Peterhof จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆคือ Upper Garden และ Lower Garden
Upper Garden การ์เด้นจะเริ่มตั้งแต่หน้าประตูรั้วถึงตัววัง ในส่วนนี้คือเข้าฟรี (คือสวนวังเวงๆที่เราเดินผ่านมาเมื่อกี้)
Lower Garden คือส่วนที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ ควักกระเป๋าเพียง 450 RUB เท่านั้น คุณจะได้สัมผัส Grand Cascade อังอลังการประกอบไปด้วยน้าพุกว่า 150 แห่งและรูปปั้นบรอนซ์ 200 ตัว
เอิ่ม ไม่อยากทำ Expectation – Reality แต่เพราะไม่ได้มาหน้าร้อน (ปลายพฤษภาถึงกันยา) มันเลยยังไม่เปิ้ดดดดดดดดดดดด แต่ก็ไม่เสียเงินเช่นกัน
เบื้องหน้าที่เห็นสุดลูกตาคือทะเลบอลติก
น้ำพุที่เห็นในนี้ ไม่ใช้ระบบปั๊มน้ำ แต่เป็นแรงดันน้ำธรรมชาติจากแหล่งเก็บในส่วนของ Upper Garden (ขอคารวะ) ศูนย์กลางของระบบน้ำพุที่นี่คือ Samson and the Lion ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ Mikhail Kozlovsky เป็นสัญลักษณ์ที่รัสเซียเอาชนะสวีเดนได้ในสงคราม The Great Northern War (ซาร์ปีเตอร์เลยได้ที่มาสร้างเมือง St.Petersburg) น้ำพุที่เกิดจากแรงดันของการเก็บน้ำทะเลพุ่งออกจากปากสิงโตที่กำลังโดนง้างมีความสูงถึง 20 เมตร (จินตนาการเอานะว่ามีน้ำ)
ลำดับต่อไปคือการล่อลวงคุณสำลีเดินเลาะตามแนวคลอง Marine Canal ซึ่งเป็นคลองน้ำทะเลที่ทอดยาวจนออกทะเลบอลติก ด้วยความหวังจะเปลี่ยนความทรหดเป็นความโรแมนติกบ้าง แต่นางก็มัวแต่ถ่ายรูปไปตลอดทางจนอยากจะถีบลงคลอง
มีสะพานข้ามคลองเล็กๆให้ข้ามมาชมวังแบบเต็มตา
ทะลุไปทะเลบอลติก โดยส่วนตะวันออกสุดของทะเลคืออ่าวฟินแลนด์ที่คุ้นๆว่าเคยเรียนกันสมัยมัธยม
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง พวกเราเดินหาที่ปิกนิกใกล้ทะเลบอลติกจนมาเจอ Peterhof Hermitage ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น ซาร์ปีเตอร์สร้างไว้เป็นที่ทรงดินเนอร์สบายๆแต่ทรงสิ้นพระชนม์ก่อนสร้างเสร็จ ภายหลังซารีน่าอลิซาเบธนำรูปวาดของสะสมของซาร์มาประดับ แต่ก็ถูกไฟเผาไหม้ไปหมด จนถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ ปันภาพจาก State Hermitage มาตกแต่ง ใครอยากเข้าไปชมเพียง 150 RUB เท่านั้น แต่เปิดหน้าร้อนเด้อ
หาที่นั่งได้ ฝ่ายจัดเตรียมสเบียงก็ปฎิบัติการทันที
ท้องอิ่มก็ต้องเดินย่อยกันหน่อย เราไปเยี่ยมชม Marly Palace ที่ซาร์ปีเตอร์สร้างเลียนแบบที่พักล่าสัตว์นอกกรุงปารีสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ชื่อ Mary Le Rol ซาร์ปีเตอร์ใช้ที่นี่เป็นที่ประทับในช่วง 2 ปีสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์
ถึงไม่มีใบไม้ก็แอบโรแมนติกนิดนุง
ก่อนขึ้นรถกลับอย่าลืมแวะเยี่ยมชม The Peter and Paul Cathedral โบสถ์ออร์โธดอกซ์แสนงามที่อยู่เยื้องๆวัง แต่ตอนพวกเราไปดันปิดปรับปรุงอยู่ซะง้านนน
รายการเที่ยวต่อมาคือ St Issac’s Cathedral
เวลาทำการ: 10:30-18:00 Last admission 17:30 ปิดวันพุธ
เพียงนั่ง Metro ไปลงที่สถานี Admiralteyskaya แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย ท่านจะได้เจอกับสิ่งก่อสร้างใหญ่โตอลังการชนิดที่เห็นแค่เสายังต้องร้องโอ้โห มันคืออออ St. Issac’s Cathedral
บัตรเข้าชมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ภายในตัวโบสถ์ (museum) 250 RUB และส่วนที่ขึ้นไปชมวิวได้ (colonnade) 150 RUB คำแนะนำคือให้ควักเงินซื้อมันทั้งสองอย่างแล้วรีบเข้าไปชมด่วน
St. Issac’s Cathedral หนึ่งในมหาวิหารที่สวยที่สุดของรัสเซีย (อันนี้ยืนยัน นอนยัน) และโคตรรรจะใหญ่ชนิด Kazan Cathedral เมื่อวานหลบไปได้เลย มีความใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก สร้างในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส Auguste de Montferrand โดยใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 40 ปี ส่วนหนึ่งเพราะเฮียแกเชื่อคำทำนายที่ว่า หากมหาวิหารแห่งนี้เสร็จสมบูรณ์ ตนจะเสียชีวิตจึงยืดเวลาก่อสร้างให้นานขึ้น เฉพาะการทำผนังและวางรากฐานก็ใช้เวลานานมากถึง 5 ปี ใช้เสาเข็ม 50,000 ต้นเป็นฐาน ประกอบด้วยเสาหินแกรนิต 48 ต้น น้ำหนักต้นละ 114 ตัน! รวมเสาต้นเล็กอีก 112 ต้น ขนลากทางน้ำมาจากฟินแลนด์ทั้งหมด ลำบากสุด ๆ กว่าจะยกเสาหินยักษ์เหล่านี้ขึ้นตั้งเรียงกันให้ได้ตามแบบที่ถูกต้อง อึ้งจริงๆ ไม่รู้มันสร้างเข้าไปกันได้ไง
ส่วนบนที่เป็นโดมขนาดใหญ่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 25.8 เมตรนั้นสร้างยากยิ่งกว่า โดยกรรมวิธีการฉาบทองบนยอดโดมใช้ปรอทผสมทองคำหลอมให้เหลวเทราดลงไป ซึ่งตลอดระยะเวลาที่มีการก่อสร้าง ไอระเหยจากปรอทได้คร่าชีวิตกรรมกรไปเป็นจำนวนมาก
เมื่อเข้ามาภายในมหาวิหารต้องเดินไปดู เสามาลาไคต์ (Malachiten) สีเขียว และเสาลาปิส (Lapis) สีน้ำเงินอมม่วง เป็นเสาหินสีกึ่งอัญมณีหายาก ตอนดูในรูปก็นึกว่ามีอยู่ไม่กี่เสา ของจริงนี่โคตรเยอะ ตระการตา เลอค่า บอกเลย
เพดาน ช่างงามแงะ
ประเทศนี้ทำอะไรเล็กๆไม่เป็นหรอก
เดินในมหาวิหารจนอิ่มตา ได้เวลากายบริหารปีนบันไดวนขึ้นไปดูวิวข้างบนยอดโดม เห็นแล้วเกือบถอดใจ
ยัง ยัง ยังไม่ถึง
แต่จะบอกว่าวิวเลอค่าอยู่ค่ะ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ปีนขึ้นมาเต๊อะ มองเห็นทัศนียภาพของเมืองได้กว้างไกลอยู่ มุมหนึ่งเป็นจัตุรัสเซนต์ไอแซก (St. Issac’s Square) ที่มีรูปปั้นของซาร์นิโคลัสที่ 1 ทรงม้าทะยานอยู่
ขอซูมดูจัตุรัสเซนต์ไอแซก ด้านหลังรูปปั้นซาร์นิโคลัสที่ 1 คือสะพานที่กว้างที่สุดใน St.Petersburg (สังเกตราวสะพานสีฟ้าขวาซ้าย) ซึ่งเป็นทั้งสะพานและที่จอดรถ
อีกมุมเป็นแม่น้ำเนวา
ที่เราปีนขึ้นมาเมื่อกี้
จากที่นี่เห็น The Trinity Cathedral ลิบๆ
แอบเดินไปโฉบอนุสาวรีย์ซาร์นิโคสัสที่ 1 เล็กน้อย
ได้เวลาอาหารเย็นวันนี้ ขอนำเสนอร้าน Market Place (ร้านทางซ้ายมือ)
คุณสำลีเดินเข้าไปจิ้มเส้นก๋วยเตี๋ยวสีเหลืองกับไก่ผัดเม็ดมะม่วง(เวอร์ชันแพงบรรลัย)
ส่วนฉันสั่งไก่ย่างกับข้าวที่โคตรจะแข็งมาประทังชีวิตพร้อม Thai chili sauce ราคา 37 RUB ที่ลงความเห็นกันแล้วว่าอร่อยสุดในมื้อ
สริรวมทั้งสองจานและเครื่องดื่ม 659 RUB ถ้วน
หาอะไรใส่ท้องเสร็จก็แวะไปเข้าห้องน้ำ ชาร์ตแบตมือถือที่โฮสเทลก่อนออกไปที่สถานีรถไฟ Ladoga (Ladozhskiy Vokzal) (ได้โปรดกรุณาดูให้ดีว่ารถไฟที่ท่านจองออกจากสถานีไหนและไปให้ถูกเพราะที่นี่สถานีเยอะเหลือเกิน) เพื่อขึ้นรถไฟนอนไป Petrozavodsk
ด้วยความที่มันดึกแล้ว เคาน์ตงเคาน์เตอร์ปิดหม้ดดดด ถามยาม ลุงแกก็พูดปะกิตไม่ได้ อาศัยยืนจ้องป้ายเทียบชื่อเมืองที่เป็นภาษารัสเซียกับตั๋วรถไฟที่ปริ๊นท์มา ดูว่า platform ไหน track อะไร ก็ไปได้แล้ว
ตอนเดินไปขึ้นรถไฟก็ต้องขึ้นให้ถูกคอนเทนเนอร์ที่จองไว้ จะมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่หน้าคอนเทนเนอร์แต่ละตู้ เอา passport ให้เค้าดูแล้วก็กระโดดขึ้นได้เลย
มาถึงตู้นอน คาดหวังว่าจะเจอ level รถไฟเวียดนาม โนววว มืดตื้ด ไฟก็ไม่เปิด เตียงข้างล่างก็พับไว้ โชคดีเจอเซียนรถไฟชาวรัสเซียให้ความช่วยเหลือ เอาเตียงล่างลงมาให้คุณสำลีได้ก็โล่งใจปีนขึ้นไปนอนเตียงบนของตัวเอง ค้นพบว่า ผ้าปูเตียงปลอกหมอนยังไม่ได้ใส่ เอาเข้าไป ปูเสร็จคว้าแปรงสีฟันโฟมล้างหน้ากะจะไปทำธุระล้างหน้าแปรงฟันถอดเสื้อออกซักชั้นหนึ่ง (ในรถไฟมันร้อนมาก) ค้นพบว่า คนเยอะมากและห้องน้ำเหม็นมาก โว้ยยยย กลับตู้นอน ปีนขึ้นเตียง นอนแม่ม
จบวันแบบซกมกๆ เพียงเท่านี้
Day 4 (9/04): ไถลบนทะเลสาบน้ำแข็งไป Kizhi
สืบเนื่องจากดันจองมาเที่ยวตั้ง 12 วัน คำนวณเวลาหลังจากเที่ยวใน Moscow และ St.Petersburg แล้วยังเหลือๆ เลยลองเสิร์ชหารูปที่เที่ยวในรัสเซียสวยๆจนไปเจอ…
สืบไปสืบมาได้ความว่าที่นี่คือเกาะ Kizhi อยู่ในเมืองชื่อแปลก Petrozavodsk
Petrozavodsk [Петрозаводск] เป็นเมืองหลวงของ Republic of Karelia [Респу́блика Каре́лия] ขนาบด้วยทะเลสาบ Ladoga (เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป และใหญ่เป็นอันดับที่ 15 ของโลก ซึ่งแม่น้ำเนวาใน St.Petersburg ก็ไหลมาจากทะเลสาบ Ladoga) และทะเลสาบ Onega (เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในทวีปยุโรป มีคลองเชื่อมต่อไปออก White Sea) เกาะ Kizhi คือเกาะ 1 ในจำนวน 1650 เกาะ ในทะเลสาบ Onega
หมายความว่า นอกจากจะต้องหาทางไปเมือง Petrozavodsk ที่ว่าแล้ว ยังต้องหาทางล่องทะเลสาบเพื่อไปให้ถึงเกาะ Kizhi อีกด้วย อะไรมันจะอุตสาหะอะไรปานนั้น
รีวิวทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษก็หายากจับใจ เที่ยวบินไปเมืองที่ว่าก็ไม่มีต้องนั่งรถไฟนอนไป เสิร์ชไปเจอว่าปกติมีเรือ Hydrofoil เทียบท่าจาก Petrozavodsk ไปที่เกาะ Kizhi เลยส่งอีเมลไปหาบริษัทที่ให้บริการเรือที่ว่านี่ทันที รออยู่ 2 วันบริษัทก็ตอบกลับมาว่าเรือไม่แล่นในช่วงเวลาที่จะไปเพราะทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง เงิบบบ เสิร์ชอีกที่เค้าบอกว่าต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไป ถ้าต้องทำงั้นทริปนี้คงหลายแสนอยู่
แม้จะถอดใจไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เลิกเสิร์ชหาทุกวันจนกระทั่งเจอเว็บไซต์นี้ http://kizhi.karelia.ru/
เป็นเว็บทางการของเกาะ Kizhi มีทัวร์พร้อมพาหนะจาก Petrozavodsk ไปถึงเกาะ อีเมลไปถามเล็กน้อย ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงที่จะไปทัวร์มีแต่ภาษารัสเซีย แต่จะหวั่นอะไร กดจองจ่ายตังค์เลยสิคะ
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาจองรถไฟ ถ้าลองเสิร์ชจะเจอเว็บไซต์ของเอเจนซี่มากมายที่พร้อมจะ mark up ราคาให้สูงขึ้นอีก แต่เรามีวิธีที่ดีกว่านั้น นั่นคือการจองตรงกับผู้ให้บริการรถไฟของรัสเซียเลย (ใครจะจองรถไฟจาก Moscow ไป St.Petersburg ก็ขอให้ชะแว๊บเข้ามาดูได้เลย) เริ่มจากไปที่เว็บไซต์นี้ http://pass.rzd.ru/main-pass/public/en
อันดับแรกให้ไป register สร้าง user account ให้เรียบร้อย
พอเรียบร้อยก็ log in เข้าไป ให้เลือก Long-distance trains -> Time table & tickets แล้วใส่ชื่อเมืองต้นทาง ปลายทาง วันที่เราจะไป (เลือก round trip ถ้าจะซื้อแบบไปกลับ) แล้วกด Buy ticket ได้เลย ระบบจะโชว์เที่ยวรถไฟที่มีในวันที่เราเลือก
พอเรากดเลือกเที่ยวที่เราอยากจะไป ระบบจะแสดงคอนเทนเนอร์ที่มีทั้งหมด เราสามารถกดดู car plan ของแต่ละคอนเทนเนอร์ว่าเหลือที่อยู่เท่าไหร่ ที่นั่งหรือตู้นอนเป็นยังไง
ในหนึ่งขบวนมีประเภทของที่นอนต่างกัน สังเกตได้จาก Category ปกติจะแยกเป็น 1st class นอนกันสองคน เงียบๆ ไฮคลาส (ซึ่งระดับอิฉันไม่มีปัญญาอยู่แล้วเลยต้องผ่าน) 2nd class มี 4 เตียงในหนึ่งตู้นอน แล้วก็ 3rd class เป็นเตียงนอนเรียงกันเป็นตับโดยไม่มีผนังกั้น จริงๆมันแบ่งย่อยลงไปอีก สำหรับใครอยากดูว่าประเภทไหนเป็นอะไรก็กดไปดู Abbreviations for types of carriages and classes of service ได้เลย พวกเราเลือกไปแบบ 2nd class ตกคนละ 800 บาท ส่วนขากลับเป็นแบบนั่งเลยเลือก business class คนละ 650 บาท
พอซื้อเสร็จจะมีตั๋วรถไฟส่งมาให้ อย่าลืมปริ๊นท์ออกมาเพราะต้องนำไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่ยืนหน้ารถไฟดูพร้อมกับ passport ถึงจะได้ขึ้นรถไฟ
ปอลิง รถไฟจะเปิดให้จองได้ 45 ล่วงหน้า ควรรีบไปจองเพราะมันจะเต็มได้ง่ายๆเด้อ
มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อทาง Kizhi ส่งอีเมลมาบอกวันก่อนที่จะขึ้นเครื่องไปรัสเซียว่าอาจจะต้องยกเลิกทัวร์เพราะมีจำนวนคนไม่ถึงเกณฑ์ ฉันเลยส่งอีเมลไปอ้อนวอนยกใหญ่เพราะจองทั้งรถไฟ ที่พัก ไว้แล้ว แถมในเมือง Petrozavodsk ก็ไม่มีอะไรให้เที่ยวซะด้วย น้ำตาจะไหล แต่ทาง Kizhi ขาดการติดต่อไปจนน่าใจหาย พยายามโทรศัพท์จากประเทศไทยไปก็ต่อไม่เป็น เลยเดินขึ้นเครื่องทั้งที่ใจโหว่งๆแบบนั้น คุณสำลีก็พยายามปลอบว่าไม่เป็นไร เลยตัดสินใจว่าจะไปเสี่ยงเอาดาบหน้า
แต่ตอนที่กำลังเพลิดเพลินกับการเดินเที่ยวใน St.Petersburg ก็ได้รับอีเมลจากทาง Kizhi ว่าหาทัวร์ให้พวกเราลงได้ แต่ต้องเสียเงินเพิ่มจากคนละ 1,850 บาท เป็นคนละ 2,200 บาท โห แทบกระโดดร้องด้วยความดีใจ ส่งเมลตอบตกลงไปทันทีพร้อมให้เบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ในรัสเซียไป วันรุ่งขึ้นตอนไป Peterhof ไกด์ก็โทรมานัดหมายสถานที่เจอกันเสร็จสรรพ เลยขึ้นรถไฟมาด้วยความสบายใจ
ย้อนกลับมา ณ. ในตู้นอน พนักงานเริ่มเดินเคาะประตูปลุก เลิกม่านออกไปแล้วเห็นหิมะเป็นหย่อมๆ ทัศนียภาพที่เปลี่ยนไปทำให้ฉันตื่นเต้น ต่างจากคุณสำลีที่ตื่นมานั่งมองแบบเบลอๆ เก็บของสิคะเพ่ เดี๋ยวจะลงแล้วนะเคอะ
7 โมงตรงไม่ขาดไม่เกิน พวกเราได้ฤกษ์ย้ายสังขารอันซกมกลงมายืนหนาวที่สถานีรถไฟ ภารกิจต่อไปคือการเดินเตาะแตะไปหาโฮสเทลที่เราจองไว้ ซึ่งอยู่ในตึกข้างหน้านี้
แต่ยืนหนาวอยู่เป็นสิบนาทีดีดักก็ไม่สามารถหาทางกดกริ่งเข้าไปในตึกได้ (อีกทั้งตอนนั้นยังสงสัยว่ามันใช่ตึกนี้แน่ป่าววะ) เลยกดโทรศัพท์ตามหมายเลขที่ให้ไว้ในใบจอง โชคดี มีคนรับและดูท่าว่าจะเป็นเจ้าของโฮสเทลด้วย แต่ดันคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง เวรกรรม พูดอยู่ 5 นาทีฉันเลยยอมแพ้ วางสายไป
คุณสำลีส่งสายตาเว้าวอนด้วยความหนาวเต็มที่ ฉันก็จนปัญญาไม่รู้จะทำยังไง ผู้ชายคนหนึ่งก็เปิดประตูมาแล้วถามว่า Jane? โหย แทบจะลงไปคุกเข่าขอบคุณสวรรค์
เชิญชม Hostel 22 อันแสนสุข เพียงคืนละ 300 บาทต่อคนเท่านั้น แถมเพราะไปช่วงโลว์ซีซั่น เลยได้ทั้งห้องไปครอง
เจ้าของโฮลเทลชื่อ อั๊ต (จริงๆชื่อมันยาวกว่านี้มาก พอเห็นพวกเราทำหน้างงๆเลยบอกให้เรียกอั๊ตพอ) ถามว่าทำไมมาเช้าจัง (จริงๆถ้าตามโปรแกรมทัวร์เดิม เราจะลงรถไฟแล้วไปทัวร์เลยจนถึง 4 ทุ่มถึงจะเข้าโฮสเทล แต่พอปรับโปรแกรมใหม่เลยมีเวลาเหลือ) ฉันได้แต่ยิ้มแหะแล้วชี้บุยใบ้ไปยังห้องน้ำ อั๊ตไม่แค่อนุญาตให้ใช้ ทำความสะอาดให้ด้วย โหย เลิฟเลย สักพักก็อาบน้ำแม่มเลย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
ตัวนี้ แมวอั๊ต ตาจะกลมไปไหน
มีครัวให้ใช้ด้วย
หลังจากที่อาบน้ำเก็บกระเป๋ากันเรียบร้อย พวกเรารีบออกไปหาอะไรรองท้องเพราะใกล้ถึงเวลาที่นัดไกด์ไว้ ไปเจอ Burger King ทีมีโปรโมชั่นเดียวกับในสนามบินแต่ถูกกว่าเท่าตัว ปัญหาคือพนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ อธิบายยังไงก็บอกไม่มีๆ เลยวิ่งไปถ่ายรูปป้ายข้างหน้าร้านมาให้ เลยได้กินในราคาสวยๆในที่สุด
กินเสร็จก็เดินไปเจอไกด์ ชื่อ อเล็กซ์ หล่อเชียว (ใจเย็นนะเทอวว) พูดอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วเลยแอบถามว่าทัวร์จะมีภาษาอังกฤษไหม อเล็กซ์บอกว่าเดี๋ยวจะไปด้วยแล้วเขาจะเป็นคนอธิบายเป็นภาษาอังกฤษให้เราสองคน แทบกราบบบบ
อเล็กซ์พาพวกเราเดินไปท่าเรือ ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณเกือบ 2 กิโล ระหว่างทางก็เม้าท์มอยไปเรื่อย อเล็กซ์บอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงอบอุ่น (แต่ฟันตรูกระทบกันกึกๆ) ถ้าหน้าหนาวจะอยู่ที่ -20 องศา ปกตินักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม Kizhi จะมาทางเรือสำราญ เพราะ Kizhi จะตั้งอยู่ระหว่างกลางเส้นทางการล่องเรือจาก Moscow ไป St.Petersburg เจ้าตัวเรียนจบเอกภาษาที่เมืองนี้ (มีการชี้มหาลัยที่ตัวเองเรียนให้ดู) ทำงานเป็นทั้่งล่ามและไกด์มาเป็น 10 ปี
เริ่มเห็นทะเลสาบ Onega อยู่ลิบๆ น้ำสะท้อนแสงแดดเป็นประกายเชียว
แต่พอใกล้มากๆแล้วตกใจ เฮ้ยยยย น้ำแข็งทั้งหมดครับพี่น้อง ตอนแรกนึกว่าจะไม่แข็งขนาดนี้หรือละลายไปมากแล้ว นี่แบบ แข็งมาก อเมซิ่งจิงเกอเบล
พวกเราตื่นเต้นจนกระทั่งอเล็กซ์ออกอาการงงว่าพวกเมิงเป็นอะไรกัน เดินมาเร็วๆหน่อยได้ไหม ที่เหลือเค้ารออยู่ นางกวักมือเรียกแล้วก็ชี้ไปที่เรือลำหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกล บอกว่านั่นแหละคือพาหนะของพวกเราในวันนี้
มันชื่อว่า Hovercraft เป็นเรือสะเทินน้ำสะเทินบก หมายความว่าแล่นบนน้ำแข็งก็ได้หรือช่วงไหนที่น้ำแข็งละลายเป็นน้ำก็ยังสบายอยู่ เคลื่อนที่ด้วยใบพัดขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ข้างหลัง เล่าให้ฟังเสร็จ อเล็กซ์ก็กระโดดลงทะเลสาบน้ำแข็งเดินไปยังเรือ เอาจริงดิ น้ำแข็งจะแตกเพราะตรูไหม ตัวไม่ใช่เล็กๆ
อเล็กซ์เล่าให้ฟังว่าถ้าเป็นหน้าหนาว น้ำแข็งหนาเกิน 10 ซม. ก็ใช้รถธรรมดาวิ่งได้เลย แต่หน้าร้อนที่น้ำแข็งละลายเป็นน้ำหมดแล้วจะใช้ Hydrofoil ซึ่งจริงๆแล้วอันตรายกว่าเดินทางด้วย Hovercraft เพราะบางครั้งคลื่นจะสูง
ทั้งกลุ่มเรามีอยู่แค่ 6 (รวมอเล็กซ์แล้ว) เลยนั่งในเรืออย่างสบายๆ ข้างในออกจะเสียงดังจนหูอื้อ แต่ทัศนียภาพด้านนอกเกินคำบรรยาย คุณสำลีช่างภาพถ่ายรูปตอนเรือยังไม่ออกอย่างตื่นตาตื่นใจ พอเรือออกได้ไม่ถึง 5 นาทีมีอะไรหนักๆมาพิงไหล่ หัวคุณสำลีนั่นเอง หลับตาพริ้มเชียว แล้วรูปไปทำรีวิวตรูล่ะ ล่ะ ล่ะ
เป็นหญิงแกร่งต้องไม่ง้อสื่อ ควักกล้องตัวเองขึ้นมาแล้วตั้งหน้าตั้งตาถ่ายเองก็ดร้ายยยยยย
มันเป็นไปได้ยังไง แข็งทั้งทะเลสาบ ตั้งกว้าง ทั้งที่ก็ไม่ได้ติดลบอะไรขนาดนั้น ประมาณเลขตัวเดียว อเล็กซ์อธิบายให้ฟังว่า ตอนกลางคืนจะหนาวมากจนพื้นน้ำแข็งที่ละลายตอนกลางวันกลับมาแข็งตัวใหม่
มีบางช่วงที่น้ำแข็งแตก
ก้อนใหญ่เอาการ ถ้าเอาไปทำน้ำแข็งใสคงจะฟินน่าดู
มีคนออกมาเจาะน้ำแข็งเป็นวงกลมแล้วตกปลา มีการโบกบ๊ายบายพวกเราด้วย
บางช่วงก็เจอน้ำแข็งที่ละลายเป็นเวิ้งน้ำบ้าง
เกือบหนึ่งชั่วโมงที่นั่งเรือมา เกาะ Kizhi ก็ปรากฎแก่สายตา นี่แหละ ที่ดั้นด้นมา ได้เวลาสะกิดคุณสำลีให้ตื่นมาทำหน้าที่ตากล้อง ว่าแต่ฟ้าน่ากลัวไปไหมอ่ะ
ก่อนจะเหยียบขึ้นเกาะ ขอ intro เกี่ยวกับเกาะซักนิด เกาะ Kizhi เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง สิ่งก่อสร้างบนเกาะมีทั้งหมด 83 หลัง ซึ่งล้วนสร้างจากไม้ตระกูลสน ซึ่งเป็นปกติของสิ่งก่อสร้างของชาวรัสเซียตั้งแต่สมัยโบราณ ต่างจากปราสาทหรือบ้านในยุโรปที่สร้างด้วยอิฐหรือปูน ถูกจัดเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เมื่อปี 1990 และอยู่ในลิสต์ State Code of Cultural Heritage Sites of Special Value of the Russian Federationในปี 1993 สิ่งก่อสร้างสำคัญบนเกาะ Kizhi คือ
- The Transfiguration of Our Savior
- The Church of the Intercession of Holy Mary
- The Belfry
(บางภาพฟ้าจะสวยเพราะเมฆถูกพัดหายไปอยู่จังหวะหนึ่ง ก่อนจะพัดกลับมาปิดเหมือนเดิม ฮืออออ)
อาคารทั้ง 3 ทำจากไม้สนล้วนและไม่มีการใช้ตะปู ใช้วิธีสร้างโดยการใช้ไม้ซุงมาตอกเป็นลิ่มตรงปลายประสานมุมไม้และขัดประกบกันแบบแนบสนิท และยังมี กังหันลม ซาวน่า โรงนา บ้าน และเรือซึ่งทั้งหมดก็สร้างจากไม้เช่นกัน
เท้าเหยียบเกาะป๊าบ อเล็กซ์ก็ต้อนพวกเราเข้าไปใน The Church of the Intercession of Holy Mary [Покровская церковь] มันคือโบสถ์หลังเล็กที่ใช้ในฤดูหนาว เพราะถ้าไปใช้หลังใหญ่เตาผิงจะเอาไม่อยู่
โบสถ์ในรัสเซียส่วนใหญ่เป็นโบสถ์นิกาย Orthodox แบ่งเป็นบั้งๆ ตั้งแต่เทพท้องถิ่น (Local God อ่ะ แปลซะงงเลย) -> Beast -> Christ -> Prophet (คือทำนายให้พระเยซูลงมาเกิด)
ถัดจากส่วนแท่นบูชาจะมีห้องประชุมแสนโอ่อ่า ที่เหล่าหมู่บ้านชาวนารอบเกาะ Kizhi จะส่งตัวแทนมาประชุมเรื่องต่างๆกันในนี้ เช่น เรื่องเงินภาษี
ระหว่างที่อเล็กซ์หันไปอธิบายลูกทัวร์ที่เหลือเป็นภาษารัสเซีย ก็ได้เวลาพวกเราแอบส่องวิวข้างนอก
ถัดจากโบสถ์เล็กที่ใช้ในฤดูหนาว เราจะเห็น The Transfiguration of Our Savior และ The Belfry (หอระฆัง) ที่อยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง
The Transfiguration of Our Savior [Церковь Преображения Господня] คือสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นเป็นสัญลักษณ์และจุดหมายหลักของคนที่เดินทางมาที่เกาะ Kizhi เป็นโบสถ์ฤดูร้อน สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมภาคเหนือของรัสเซีย ตามตำนานเล่ากันว่า ไม่มีใครรู้ว่าคนสร้างโบสถ์ชื่ออะไร แต่เล่ากันว่า ช่างไม้ที่สร้างโบสถ์ใช้ขวานด้ามเดียวในการสร้างโบสถ์ Transfiguration เมื่อสร้างเสร็จก็โยนขวานทิ้งทะเลสาบไปเพื่อที่ว่า ขวานด้ามนี้จะได้ไม่ถูกนำมาใช้สร้างโบสถ์แบบนี้ได้อีก โบสถ์ Transfiguration ยอดโบสถ์มีโดมไม้ 22 โดม โบสถ์มีความสูง 37 เมตร ซึ่งนับเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยไม้ที่มีความสูงที่สุดในรัสเซีย เสียดายที่โบสถ์ยังอยู่ในระหว่างการบูรณะ ซึ่งเดี๋ยวพวกเราจะได้ไปดูวิธีการบูรณะโบสถ์ด้วย (เพราะมันมีอยู่ในโปรแกรมทัวร์อ่ะ)
ข้างๆโบสถ์ Transfiguration คือหอระฆัง The Belfry สร้างด้วยวิธีเดียวกับโบสถ์ทั้งสอง คือทำจากไม้ล้วนด้วยการเข้าไม้และไม่ใช้ตะปู
เสร็จการไฮไลท์ของเกาะ อเล็กซ์ก็พาพวกเราเดินชมรอบๆเกาะ มีสิ่งปลูกสร้างที่ยกมาจากเกาะอื่นรอบๆเกาะ Kizhi เริ่มจากบ้านชาวนาหลังใหญ่เบิ้มกันก่อนเลย
ที่ต้องใหญ่ขนาดนี้เพราะในหน้าหนาวทุกอย่างจะรวมตัวกันอยู่ที่นี่ (ย้ำว่าทุกอย่างแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ไก่และม้า) ทุกคนจะไม่ออกไปนอกบ้านนอกจากจะไปตักน้ำ (นี่ขนาดฤดูใบไม้ผลิยังหนาวทรมานขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดถึงนหน้าหนาว)
ภายในบ้านยังคงมีการจำลองเครื่องเรือนและสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านในยุคนั้น อเล็กซ์อธิบายว่า บ้านที่มีทองเหลืองใช้คือร่ำรวยค่า ให้เล็งลูกชายไว้ (อันนี้เติมเอง)
มีสมุดให้เขียนข้อความทิ้งไว้
มาถึงบ้านหลังที่ 2 อเล็กซ์ชี้ให้ดูระเบียงแล้วถามว่ารู้ไหมว่าใช้ทำอะไร (ตรูจะรู้ไหม อธิบายเสะ) นางเล่าว่าเอาไว้ให้ชาวนาเดินออกมาปิดหน้าต่างตอน white night ซึ่งตามชื่อคือมันจะสว่างทั้งคืนแม้ไม่เห็นพระอาทิตย์ กินเวลาประมาณ 2 เดือน และชาวนาเกลียดมัน
ชมทัศนียภาพรอบๆก็สวยไปอีกแบบ แบบยะเยือกอ่ะนะ
เจอกังหัน อเล็กซ์บอกว่าแต่ละเกาะจะมีแค่ 1 อัน เพราะไม่ได้ปลูกข้าวเยอะ มีแค่อันเดียวก็เพียงพอ
ปกติชาวบ้านจะใช้โบสถ์ในการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ถ้ามีโบสถ์ก็จะต้องมีนักบวชและต้องมีเงินให้ ดังนั้นถ้ามีบ้านแค่ 5 หลัง ก็จะสร้าง chapel แทนโบสถ์ ไม่ต้องจ่ายนักบวชแต่สวดได้อย่างเดียว ทำ service อื่นๆไม่ได้ แต่ละหมู่บ้านจะมี chapel ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ความครีเอท แล้วนางๆจะภูมิใจใน chapel ของหมู่บ้านตัวเองมาก เวลาเจอกันคงประมาณ โอ้ยยย คุณพี่ ที่หมู่บ้านเดี๊ยนมี chapel เป็นหลังคา 2 ชั้นค่า
จริงๆมีทัวร์แบบค้างคืนด้วยนะ ตอนแรกอยากมาแต่เค้าขายต่ำสุด 5 คน เลยอดไปตามระเบียบ
อเล็กซ์พาลูกทัวร์นั่งHovercraft มาลงตรงส่วนขายตั๋วเข้าเกาะ เราจะกินอาหารว่างกันที่นี่
ลูกทัวร์อีก 3 คนเป็นสามีภรรยาหนึ่งคู่นั่งรถไฟมาจาก St.Petersburg พวกเราแอบเรียกตัวภรรยาว่าชนชั้นสูง เพราะนางเหมือนผู้ดีจริงๆ ตอนแรกนึกว่าจะไม่อยากสุงสิงกะพวกเรา แต่เอาเข้าจริงนางก็พยายามสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นคำๆ เตรียมชารัสเซียให้อีกต่างหาก อีกคนเป็นชายวัยกลางคนนั่งรถไฟมาจาก Moscow ตอนแรกถามว่านั่งเครื่องบินมาไหม แกส่ายหัวแล้วโยกหัวขึ้นลงทำเสียง ฉึกกะฉึก ทำเอาก๊ากทั้งฉันและคุณสำลี
ชนชั้นสูงขอให้เจ้าหน้าที่เปิดเพลงให้พวกเราฟัง เป็นอารมณ์เครื่องเล่นเก่าๆที่ใช้เข็มจิ้มบนตัวแผ่นซีดี รู้สึกย้อนไปอยู่ในยุคผู้ดีรัสเซียสมัยก่อน ขนมปังก็ไม่ได้รสชาติเลวร้ายนัก ออกจะดีกว่าที่ผ่านๆมาด้วยซ้ำ หรือเพราะความหิวก็ไม่รู้
เสร็จจากของว่าง อเล็กซ์ให้เวลาพวกเราไปเข้าห้องน้ำทำธุระ จากนั้นก็พาเราไปที่ Restoration Center ใช้บูรณะโบสถ์ transfiguration
อเล็กซ์อธิบายว่า ไม้ที่ส่งมาที่นี่จะมีอยู่ 3 แบบ คือ สภาพดีใช้งานต่อได้ (30%) ต้องซ่อมแซมบางส่วน (30%) และสุดท้ายคือไม่ไหวแล้วต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด (40%) ซึ่งไม้ทุกชิ้นจะโดนติดแท็กและบันทึกอยู่ในดาต้าเบส
อเล็กซ์พาพวกเราไปอีกห้อง ในนั้นมีโมเดลและอุปกรณ์การตัดไม้ นางอธิบายถึงสาเหตุที่ต้องบูรณะโบสถ์ Transfiguration ว่าเป็นเพราะโบสถ์เอียงจากเดิมไป 1.8 เมตร เลยต้องยกทั้งตัวโบสถ์ขึ้นแล้วเปลี่ยนฐานใหม่เป็นซีเมนต์ ส่วนตัวโบสถ์แบ่งออกเป็น 7 ชั้น ยกทั้งชั้นมาบูรณะโดยใช้เวลาชั้นล่ะ 1 ปี ตอนนี้เป็นชั้น 3 จริงๆต้องเป็นชั้น 2 แต่งบหมดเลยล่าช้าไป 1 ปี เงินส่วนใหญ่ที่ใช้บูรณะก็คือเงินที่นักท่องเที่ยวจ่ายมาดูโบสถ์มาทัวร์นี่แหละ แอบรู้สึกดีใจเล็กน้อยที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบูรณะนะเนี่ย
พออธิบายเสร็จปุ๊บ อเล็กซ์ก็เปิดประตูให้พวกเราเข้าไปดูอีกห้อง มันคือโบสถ์ชั้น 3 ของจริง! โนวเวย์ เริ่มรู้สึกคุ้มค่าเงินขึ้นมาทันใด
เห็นแบบนี้จริงๆใหญ่มากกกก ฝั่งที่โดนแดดจะค่อนข้างผุพัง ส่วนอีกฝังยังสภาพดี อเล็กซ์บอกว่ามีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ตลอดเวลาแถม online ด้วย นางบอกให้ไปดู อาจจะเจอตัวเองในกล้องก็ได้
ส่วนของหลังคาที่เป็นโดมเล็กๆนี่ต้องเปลี่ยนใหม่หมด มีแค่แกนกลางที่ใช้ของเดิมได้เพราะไม่โดนแดดโดนฝน
อเล็กซ์บอกว่าถ้าบูรณะโบสถ์นี้เสร็จ ส่วนอื่นๆบนเกาะจะถูกยกมาบูรณะต่อ
ดูเสร็จ อเล็กซ์ก็ต้อนลูกทัวร์ขึ้นเรือ หมดเวลาสนุกแล้วสิ
กลับถึงฝั่งตอนบ่าย 3 แวะไปเยี่ยมชมอนุสาวรีย์ซาร์ปีเตอร์ 1 ผู้สร้างเมืองนี้ Petrozavodsk (อเล็กซ์บอก Petro มาจาก Peter) ท่านก็สร้างหลายเมืองอยู่
เดินเลียบริมแม่น้ำ Onega รับลมหนาวเรื่อยๆ
เหมือนเป็นกลุ่มชาวประมงเหวี่ยงแห
คุณสำลีเริ่มงอแงร่ำร้องหา KFC เลยต้องตามใจนาง พนักงานหน้าร้านเห็นอาหมวยกับคนอินเดียเดินเข้ามารีบวอเรียกกำลังเสริม เดินถึงเคานเตอร์มีพนักงานหลังร้านวิ่งมาเปลี่ยน พูดภาษาอังกฤษได้พอใช้เลยได้ไก่มาครอบครองในที่สุด
เวลายังเหลืออีกเยอะเลยปรึกษา Tripadvisor ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี สุดท้ายเลยตัดสินใจเดินไปโบสถ์เล็กๆแห่งหนึ่ง ไปกลับใช้เวลา 1 ชั่วโมง โบสถ์ไม่มีอะไรเลย ใครมันบังอาจให้คอมเม้นท์ว่า A Must หาาาา
กลับมาต้มมาม่ากินที่บ้านอั๊ต อั๊ตมาคุยว่าไปเที่ยวไหนมาวันนี้ พวกเราก็บอกด้วยความมั่นใจว่า คิ๊ชิ (Kizhi) อั๊ตบอกไม่รู้จัก คืองงอ่ะ เมืองนี้มีที่เที่ยวอยู่ที่เดียว เมิงจะไม่รู้จักได้งาย เลยเอารูปให้ดู อั๊ตบอก อ๋ออออ คิฉึ เอิ่มมมม
อั๊ตบอก Hostel 22 เปิดมา 1 ปีแล้ว Booking.com ให้เรตติ้ง 9.7 อั๊ตบอก It’s my pride ช่วง high season นี่คนจะเต็มเลย ส่วนตอนนี้พวกเราก็ได้ครองทั้งห้อง นอนเอกเขนกดูสารคดีประวัติศาสตร์รัสเซียจนหลับไป
Day 5 (10/04): State Heritage Museum เพราะชีวิตนี้มันอ้าร์ท
พวกเราตื่นแต่เช้าตรู่อาบน้ำ กินข้าวเช้า เก็บกระเป๋า ลาอั๊ตที่นอนใส่กางเกงในตัวเดียวออกมาเปิดประตูส่ง (โหย ไม่กล้ามองต่ำเลย) แล้วรีบวิ่งไปที่สถานีรถไฟที่อยู่ไม่ไกล
ขากลับเราจองรถไฟแบบนั่ง business class หรูหรา กว้างขวาง มีที่ชาร์ตแบตด้วย ห้องน้ำนี่กว้างแทบจะลงไปกลิ้งได้ มีแต่คนมาต่อแถวเข้าที่นี่
ป้าชนชั้นสูงมาทักด้วย คงจะสงสัยว่าทำไมเจอด้าวสองคนนี้ที่ business class ส่วนเราก็งงว่าป้าทำไมมาคนเดียว ทำสามีหล่นไว้ไหนนนนนน
ไม่ถึง 6 ชั่วโมงดีเราก็มาถึง St.Petersburg พวกเรากลับไปพักที่ Hostel Life เหมือนเดิม เจอเวโรนิก้าเหมือนเดิม ใช้สายสัมพันธ์เก่าแก่ได้ห้องใหญ่ขึ้น ห่างไกลผู้คน เงียบขึ้น สบายไปอีก 4 คืนที่อยู่ที่นี่
เก็บของเสร็จแล้วก็รีบออกไปหาอะไรกิน ร้านข้าวแกงเดิมที่เคยมากินวันก่อน ขอมาแก้มือ ไม่ได้สั่งได้อร่อยขึ้นเล้ยยยย
มาถึงตารางเที่ยวของวันนี้ แม้ว่าอากาศจะไม่เป็นใจแต่เราก็ไม่หวั่น เพราะเราจะเดินอ้าร์ทกันอยู่ในตึกฟ้าๆอีก 4 ชั่วโมงใน State Hermitage Museum (Эрмитаж)
เวลาทำการ: 10:30-18:00, วันอาทิตย์เปิดถึง 17:00, วันพุธเปิดถึง 3 ทุ่ม ปิดวันจันทร์
State Heritage Museum เป็นพิพิธภัณฑ์มรดกแห่งชาติรัสเซีย สมัยก่อนเป็นพระราชวังฤดูหนาวที่ประทับของซาร์แห่งรัสเซีย รวมถึงยังเป็นสถานที่ประทับของ ร.5 สมัยเสด็จมาเยือนรัสเซียอีกด้วย สร้างในสมัยซารีน่าแคทเธอรีนมหาราช นับว่าเป็นเมกะโปรเจคแห่งยุคสมัยนั้นเลยทีเดียว เพราะใช้งบประมาณมหาศาลและจ่ายค่าแรงให้คนงานเดือนละเพียง 1 RUB พองบหมดก็หาแหล่งทุนใหม่โดยการขึ้นภาษีเกลือและเหล้า ทั้งๆที่ประชาชนก็โดนเก็บภาษีเพิ่มอยู่แล้วเนื่องจากต้องจ่ายภาษีสำหรับสงคราม Seven Years’ War โถถังกะละมัง ประกอบด้วยห้องต่างๆมากถึง 1,150 ห้อง เป็นที่เก็บสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์ รวมทั้งสมบัติจากทั่วโลกกว่า 2.7 ล้านชิ้น ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 และภาพเขียนของจิตรกรเอกของโลก มีผลงานของ ลีโอนาร์โด ดา วินชี ไมเคิล แองเจโล ราฟาเอล ติเตียน แรมแบรนท์ รูเบนส์ ภาพวาดอิมเพรสชั่นนิสม์ฝรั่งเศส รวมทั้งแวนโก๊ะ มาติส โกแกง และจิตรกรชื่อดังโรแดง ว่ากันว่าถ้าจะชมให้ครบทุกชิ้น โดยใช้เวลา 1 นาทีในแต่ละชิ้น จะต้องใช้เวลาประมาณ 15 ปี ถึงจะชมครบ
โฆษณากันขนาดนี้ รีบเสียเงิน 600 RUB เข้าไปดูทันที ซื้อบัตรที่ตู้นี้ได้
ข้างในโอ่อ่า ยิ่งใหญ่ ตามสไตล์รัสเซีย
ห้องนี้เป็นบัลลังค์ของซาร์และซารีน่า
ตามระเบียงเดินไปตามห้องต่างๆก็หรูหราอลังการตามท้องเรื่อง
ห้องแสดงศิลปะต่างๆ ถ่ายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางทีถ่ายได้แต่ห้ามใช้แฟลช ต้องคอยดูป้ายบอก
ใน pantip ก็มีแต่คนบอกว่าเลิศมาก ต้องเดินกันเป็นวันสองวันถึงจะครบ พวกเราเลยกังวลเล็กน้อยเพราะ 3 ชั่วโมงที่มีอาจจะไม่พอ เดินไป 45 นาที หันไปมองหน้ากับคุณสำลี “นายคิดเหมือนเราไหมบีหนึ่ง” คุณสำลีหันกลับมาพยักหน้า “ฉันก็คิดเหมือนกันนะบีสอง” พร้อมกัน “พวกเราไม่อินกะอ้าร์ทจริงๆอ้ะ”
คิดสภาพเด็กวิศวะสองคนเดินงงๆอยู่ท่ามกลางภาพเป็นพันๆภาพ ก็รู้ว่าสวย แต่ดูเยอะๆมันก็เอียนไง คล้ายๆกันไปหมด เงิบ
สำหรับใครที่เป็นแบบนี้อย่าเพิ่งถอดใจ ไหนๆก็มาแล้ว ขอเรียนเชิญให้ท่านเดินหาจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์ ดังนี้
- นาฬิกาไขลาน ทำมาจากทองคำรูปนกยูง สวยงามมาก เมื่อครบ 1 ชั่วโมง นกยูงจะลำแพนหางของตัวเอง หมุนไปมา
- พื้นโมเสค พระนางส่งนักเรียนไปเรียนการทำโมเสคที่ประเทศอิตาลี เมื่อสำเร็จกลับมารัชราชการที่รัสเซีย นักเรียนเหล่านั้นได้สร้างพื้นโมเสคเป็นการถวายให้สมพระเกียรติของพระนาง
- ภาพ Madonna and Child พระแม่มารีให้นมแก่พระเยซู วาดโดย Leonardo da Vinci ในปี คศ 1490 อายุ 500 กว่าปี นับเป็นภาพที่มีผู้กล่าวถึงอย่างมากมาย เพราะเป็นภาพที่ค่อนข้างล่อแหลมต่อความเคารพในศาสนา
- ประติมากรรมบางชิ้นโด่งดังเพราะใช้เวลาสรรค์สร้างนานหนักหนา เช่น The Death of Adonis ผลงานของ Giuseppe Mazzuoli ในปี คศ 1709 สลักหินอ่อนเล่าเรื่อง Adonis ชู้รักของเทพวีนัส ผู้ถูกหมูป่าขวิดตาย ตำราหนึ่งว่าไว้ หมูคือเทพมาร์แปลงร่างลงมา ด้วยความอิจฉาในรักของสองคน
นอกจากนี้ บัตรที่เราซื้อไว้ยังใช้เข้าตึก General Staff Building ตึกเหลืองที่อยู่ตรงข้ามได้อีกด้วย งานศิลปะจะสมัยใหม่ขึ้นมาหน่อย บางชิ้นก็เตะตาดี
จริงๆที่มาดูตึกนี้เพราะอยากเห็นภาพที่ชื่อว่า Black Square ให้เป็นบุญตาซักครั้ง เคยเห็นใน pantip ว่าเป็นภาพสีเหลี่ยมสีดำ แต่มีมูลค่าถึง 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ คือเห็นแล้วแบบ ตรูก็วาดได้ไหมอ่ะ แต่ของจริงอาจจะอลังก็ได้ไง เลยต้องมายล ถามไปถามมา ไปเจอลุงคนหนึ่ง พยายามอธิบายด้วยท่าทางและเสียง ฟิ้วววว ฉึกกะฉักฉึกกะฉัก = ถูกนำไปแสดงที่อื่น ที่ยืนอึ้งเหตุผลหนึ่งคือเสียดาย อีกเหตุผลคืออึ้งแอ๊คติ้งของลุง ฮ่าๆๆๆ
หลังจากไปเดินอาร์ทมาหลายชั่วโมงอยู่ (มัวเดินหา Black Square) ไม่อยากจะยอมรับว่าเป็นโปรแกรมที่ไม่สนุกที่สุดในทริป ศิลปะไม่สามารถกล่อมเกลาจิตใจข้าพเจ้าได้สินะ
ถัดไปคือการไปเยี่ยมชม The Bronze Horseman ซึ่งรูปปั้นทรงม้าของซาร์ปีเตอร์มหาราช อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนวา ดูขลังมาก
ขออีกมุม ลมหนาวตีหน้าจนชาไปหมด
St. Issac ระยะไกล ยังประทับใจไม่หาย
เพราะว่าเสียพลังงานประมวลผลอ้าร์ทไปเยอะ เลยตอบแทนสมองและสองขาด้วยพิซซ่ารัสเซีย (จริงๆคือ Pizza Hut ในรัสเซีย)
พร้อมไก่ทอดแสนอร่อย
หมดแค่ 620 RUB เท่านั้นในมื้อนี้ เดินลูบท้องกลับโฮสเทลไปนอนสบายย
Day 6 (11/04): สู่วังราชีนี Catherine Palace
จริงๆวันนี้ตามแผนกะว่าจะไปถ่ายแสงยามเช้าที่ Peter and Paul Fortress แต่ตื่นมาก็ 7 โมงเช้าแล้ว แถมเช็คอากาศแล้วเห็นว่าหมอกลงเยอะ เลยเปลี่ยนแผนไป Catherine Palace เลยถือโอกาสซักผ้าก่อนและออกสายซักนิด
เครื่องซักผ้าใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง จริงๆมีราวแขวนให้ตากผ้าในห้องน้ำรวม แต่แนะนำให้ไปซื้อราวแขวนชั้นในเล็กๆแบบพับได้เอาไปแขวนในห้อง ที่นี่่มีไม้แขวนให้เยอะพอตัว ไม้แขวนที่อุตส่าห์เตรียมมาไร้ค่าไปเลย
การเดินทาง:
- metro Kupchino แล้วต่อด้วยรถบัส 186 (35 RUB) อาจจะรอนานเล็กน้อย พอขึ้นแล้วจ่ายที่คนขับเลย หรือ
- metro Moskovskaya จากนั้นเดินออกมาจะเจอถนน Mockovskii จะมีลานใหญ่ๆมีรูปปั้นท่านผู้นำเลนินยืนชี้นิ้วอยู่ ด้านหลังรูปปั้นจะเป็นตึกขนาดใหญ่ซึ่งคืออดีตสำนักงานใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ประจำเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ถนนระหว่างตึกและรูปปั้นจะมีวินรถตู้จอดอยู่เป็นแถว แค่เห็นหน้าว่าเป็นนักท่องเที่ยวก็จะเรียกเราขึ้นรถทันที ป้ายที่รถจะเขียนว่าไป Tsarskoe Selo (Pushkin) หรือจะดูจากเลข 286, 299, 342 และ 545
นั่งไปประมาณครึ่งชั่วโมงนิดๆ รถจะส่งเราตรงหัวมุมถนน ต้องเดินต่อไปเล็กน้อย
ถึงแว้วววววว Catherine Palace
เวลาทำการ: 10:00-17:00 ปิดทุกวันอังคารและวันจันทร์สุดท้ายของเดือน ภายในพระราชวังเปิดให้เข้าชม 12:00-14:00 และ 16:00-17:00 ถ่ายรูปได้ทุกห้องยกเว้นห้องอำพัน
แคทเธอรีนที่ 1 เป็นภรรยาคนที่ 2 ของซาร์ปีเตอร์ 1 หลังจากสิ้นสามี พระนางก็ขึ้นครองราชย์ นับเป็นสตรีคนแรกที่ได้ปกครองจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่ง Peterhof และ Catherine Palace มาสร้างเสร็จสมบูรณ์ก็สมัยรุ่นลูก คือพระนางอลิซาเบธ พระราชวังแคทเธอรีน หรือ ซาร์สโกเย เซโล (Catherine Palace หรือ Tsarskoye Selo) เป็นภาษารัสเซียหมายถึงหมู่บ้านราชา (Tsar’s Village) ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองไปทางทิศใต้ระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร วังนี้สร้างโดยพระนางอลิซาเบธ ความสำคัญของพระราชวังแห่งนี้ คือใช้เป็นที่พักผ่อนในฤดูร้อนของพระเจ้าซาร์องค์ต่อๆมาเรื่อยๆ จนกระทั่งซาร์องค์สุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ก็มาพำนักอยู่และถูกจับตัวจากพรรคคอมมิวนิสต์ที่นี่
พอมาถึง Catherine Palace ก็ 11.30 แล้ว แดดออกเปรี้ยง (ไหนใครบอกหมอกลงยะ) เจอแถวนักท่องเที่ยวเข้าไปแล้วจะเป็นลม ทั้งทัวร์ไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น นักเรียนรัสเซียมาทัศนศึกษา ชนกันประมาณ 18 ทัวร์ คาดว่าหน้านักท่องเที่ยวจะบะรึมมะฮึ่มกว่านี้
พระราชวังฤดูร้อนสไตล์ Rococo นี้ตั้งใจจะสร้างเพื่ออวดบารมีกับพระราชวังแวร์ซายส์ จึงใหญ่กว่าวัง Peterhof อยู่มาก เมื่อสิ้นยุคอลิซาเบธ วังถูกปรับปรุงอีกครั้ง โดยพระนางแคทเธอรีนที่ 2 ซึ่งต่อมาพระองค์ก็คือพระนางแคทเธอรีนมหาราช ผู้ออกแบบดั้งเดิมคือ Bartolomeo Rastrelli คนเดียวกับที่ออกแบบ Peterhof (เน้นเยอะ เน้นทอง เน้นหรู) แต่ภายหลังมีสถาปนิกคนอื่นๆมาตกแต่งเพิ่มเติม ประกอบกับขนาดที่ใหญ่กว่า เลยออกมาสวยกว่า Peterhof (ความเห็นส่วนตัว หนูขอโทษนะ Rastrelli)
ห้องแรกที่เจอคือห้อง The Great Hall (Hall of Light) เป็นห้องบอลรูมขนาดร่วม 1000 ตารางเมตร ในสมัยพระนางอลิซาเบธ ห้องนี้มีไว้เล่น Orchestra ขนาด 80 คน ประดับด้วยเทียน 1200 เล่ม จุดสะท้อนกระจกตามมุมต่างๆ เกิดเป็นแสงวับวามตา
ห้องอื่นๆ เช่น ห้องกินข้าว ห้องพักผ่อน
เพดานสวยเชียว
ห้องตกแต่งหลากสีสวยงาม
เพดานอีกแล้ว เรื่องราวเต็มไปหมด แหงนจนเมื่อยคอ
ห้องที่นับว่าเป็นไฮไลท์ของวังนี้คือ Amber Room ผนังห้องตกแต่งด้วยอำพันแบบงานโมเสคและกระจก รวมถึงหินมีค่าอื่นๆจากเทือกเขา Ural และ Caucacus ว่ากันว่าใช้อำพันตกแต่งประมาณ 450กก. ห้องนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากใช้เก็บงานศิลปะที่ทำจากอำพันและพวกเครื่องกระเบื้องจากจีน ตอนกองทัพนาซีบุกมาถึงที่นี่ ผนังห้องแห่งนี้ถูกถอดออกเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว และถูกขนลงเรือเพื่อจะส่งไปยังปราสาทแห่งหนึ่งในปรัสเซีย แต่ว่ากันว่าเรือลำนั้นหายไป ผนังอำพันหายสาบสูญไปจนถึงทุกวันนี้ บ้างก็ว่ารัสเซียเป็นฝ่ายจมเรือที่บรรทุกผนังอำพันเหล่านั้นเสียเอง แบบว่า ถ้าข้าปกป้องไว้ไม่ได้ ข้าก็จะไม่ยอมให้ใครได้ครอบครอง ห้องอำพันที่เราได้ไปชมคือเวอร์ชั่นสร้างใหม่ ด้วยงบประมาณ 12ล้านเหรียญ สร้างตั้งแต่ปี 1982 และเปิดให้เข้าชมเมื่อปี 2003 มีประธานาธิบดีปูตินและ Gerhard Schroeder นายกฯเยอรมันสมัยนั้นมาเป็นผู้เปิดงาน
ส่วนตัวอ่านและหวังมาเยอะ พอไปถึงจริงๆไม่ได้ตระการตาอย่างที่คิด อารมณ์เป็นก้อนอำพันเล็กๆมาแปะเป็นแบบโมเสค แต่ก็แปลกดี
ก่อนจะออกมีชุดที่เจ้าชายทั้งหลายใส่กันในสมัยนั้น กางเกงที่ใส่ (ในรูปไม่มี) จะเหมือนกางเกงโยคะ ทรงพระฟิตมากเพคะ ถ้าขี่ม้าพยศหน่อยกางเกงจะปริไหม
ฉลองพระองค์ของซารีน่า เว่อร์วังอลังการ แต่ดูท่าจะหนักมาก
หลบผู้คนออกมาเดินชมสวน ขนาดไม่มีใบไม้ยังสวย ตัดสินใจนั่งปิกนิกกันแถวๆนั้น
ระหว่างที่นั่งกินขนมถ่ายรูปเพลินๆกันอยู่แถวนั้นก็มีคนรัสเซียมาทัก ถามว่ามาจากไหน ฉันก็ตอบไทยแลนด์ นางก็ย้อนถาม ไต้หวัน? ตรูบอกไทยแลนด์ หันไปเห็นคุณสำลีที่ถ่ายรูปอยู่ไม่ไกลถาม บอยเฟรนด์? อินเดีย? เล่นเอาคุณสำลีงอน นางชี้ผู้ชายที่มาด้วยกันบอก ฮัสบัน (Husband) และมีการอธิบายว่า before บอยเฟรนด์ now ฮัสบัน คือจะบอกเพื่อออ ตรูรู้
เดินอ้อยอิ่งอีกนิดก่อนตัดสินใจกลับ ลาก่อน Catherine Palace และทัวร์จีน
ขากลับไปขึ้นรถตู้แถวนั้น สาย 545 ซิ่งมาแค่ 15 นาทีถึงสถานี Kupchino เบาๆก็ได้เพ่ หัวหนูแทบหลุด
ลำดับถัดไปคือการไปเยี่ยมชม The Trinity Cathedral หรือ The Troitsky Cathedral (Троицкий собор) ชื่อในอากู๋คือ Kolonna Slavy Izmaylovskogo polka
เวลาทำการ: 09:00-19:00 เข้าฟรีแต่ห้ามถ่ายรูป
การเดินทาง: Tekhnologichesky Institut-1 (น้ำเงิน) หรือ 2 (Технологи́ческий институ́т1-2)(สายสีแดง) จากสถานีเดินไปไกลอยู่
ควรใส่กางเกงขาวยาวหรือกระโปรงยาว แต่งตัวสุภาพ ผู่หญิงถ้ามีผ้าคลุมผมจะดีมากหรือใช้ผ้าพันคอก็ได้ Trinity Cathedral จุดเด่นคือหลังคาเป็นดาว เป็นโบสถ์ Empire style สร้างในสมัยซารีน่าอลิซาเบธ ความสำคัญคือเป็นโบสถ์ประจำกรม Izmailovsky regiment of Imperial guards เคยถูกไฟไหม้ไปเมื่อปี 2006 ตอนนี้บูรณะเสร็จแล้ว
เพราะประเทศนี้มีสงครามตลอดเวลา แม้แต่หน้าโบสถ์ยังมี Russo-Turkish War memorial column (Column of Glory) สร้างเป็นที่ระลึก Russo-Turkish War, 1877-1878 ที่ออตโตมานบุกรัสเซียแล้วแพ้กลับบ้านไป ปืนใหญ่ 128 กระบอกนี้คือปืนตุรกีที่ถูกยึดมา
ถัดไปเราจะไป Smolny Cathedral and Convent (Смольный собор и монастырь)
เวลาทำการ: 11:00-19:00 ทุกวัน ปิดวันพุธ
การเดินทาง: Chemyshevskaya(Черныше́вская)(สายสีแดง) แต่จะเดินไกลมาก พวกเราใช้ google maps หาเส้นทางแล้วก็ตามไปเรื่อยๆ แต่รถเมล์ดันไปไม่ถึงต้องเดินไกลอยู่ดี ระหว่างกำลังมีความหวังว่าจะได้ปีนไปดูวิวพระอาทิตย์ตกบนหอระฆัง เห็นไกลๆแล้วใจหาย สโมนี่กรู้ววววววววว
ทีอุตส่าห์ดั้นด้นต่อรถเมล์ (มั่วๆ) มา ถ่ายแต่ระฆังก็ได้วะ
แอบไปแง้มดู เจ้าหน้าที่ข้างในมองแบบงงๆ เมิงเปิดเข้ามาเพื่ออออ
หลังจากเฟลแล้วก็ได้เวลากลับ พาคุณสำลีขึ้นรถเมล์มั่วๆจนนางจับได้ โดนด่าเลยพาลงเดินแม่ม พามาถูกอย่างเดียว พากลับไม่ได้ จะทำไมยะ
ใกล้ถึงโรงแรมหันไปเห็นฟ้าระเบิด หันไปถามคุณสำลีว่าไปถ่ายพระอาทิตย์ตกดินไหม นางส่ายหัวบอกว่าไม่ไหวแล้ว เลยผัดวันประกันพรุ่งไปวันอื่น
มื้อเย็นวันนี้ขอนำเสนอแพนเค้กรัสเซียที่ร้าน Tepemok มีทั้งแบบคาวหวาน แต่คุณสำลีทำหน้าปุเลี่ยน ไม่เข้าทางนาง แต่วันนี้ขอวันหนึ่งนะ
เนียนนุ่มอร่อย ติดใจ
ขากลับแวะซื้อเบียร์ไปกินชมวิวมุมสูงที่หน้าต่างห้องนอน หลับสบายใจ
Day 7 (12/04): รื่นเริงที่ Peter and Paul Fortress
วันนี้จากที่ตั้งแต่ว่าจะตื่นซักตี 5 ไปถ่ายแสงเช้า ปากเก่งไปงั้น ตื่นมา 7 โมงเหมือนเดิม ออกไปหาอาหารเช้าแบบชนชั้นสูงกิน แพงที่สุดในทริปแล้ว แต่หน้าตาอาหารกินขาด บรรยากาศร้านก็ไม่เลว
เริ่มจากกาแฟของคุณสำลี
ชุดอาหารเช้าเบคอนไข่ดาวและขนมปัง
ตบท้ายด้วยสปาเกตตี้
เลยโดนไป 800 RUB กว่าๆ ทิปไปอีก 10% กระเป๋าตังค์โล่งเชียว
ขอควักแผนที่ขึ้นมาแนะนำสถานที่ที่เราจะไปในวันนี้ แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางคือ Peter and Paul Fortress แต่จะแวะ Fields of Mars ก่อนเพื่อไม่ให้ดูว่าเดินไกลจนเกินไป
Fields of Mars (Ма́рсово по́ле) เป็นที่โล่งแจ้ง ไม่มีต้นไม้ มีศพของทหารอยู่ เป็นอนุสรณ์ให้ทหารที่เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 1 หน้าร้อนจะมีคนมานอนอาบแดดกันเต็ม
วิหารหยดเลือดอยู่ไม่ไกลนัก
แวะพักขากันไม่นานก็ได้เวลาเดินทางสู่ Peter and Paul Fortress (Петропа́вловская кре́пость) ตั้งอยู่ในเกาะ Hare (Zayachy) แปลว่ากระต่าย ซาร์ปีเตอร์ที่ 1 สร้างป้อม Peter and Paul ขึ้นเพื่อใช้ป้องกันการรุกรานของกองทัพสวีเดน แต่กลายเป็นว่าป้อมและปืนใหญ่ที่นี่ไม่เคยได้เข้าสู่สงครามกับใครเลย
เวลาทำการ:
- เกาะ Hare (Zayachy) เปิด 06:00-21:00
- อาณาเขตของ Peter and Paul Fortress (within city walls) 9:00-20:00
- นิทรรศการต่างๆ เปิดทุกวัน เวลา 10:00-18.00 ขายบัตรถึง 17:00 วันอังคารจะเปิดถึงแค่ 10.00-17.00 ขายบัตรถึง 16.00 ปิดทำการวันพุธ
การเดินทาง: สถานี Gorkovskaya (Го́рьковская) (สายสีฟ้า) หรือเดินข้ามสะพาน Troitsky ไปอย่างพวกเรา
เห็น Peter and Paul Cathedral โดดเด่นมาแต่ไกล
สะพานไม้ทางเดินเข้าเกาะกระต่าย ด้านซ้ายมือจะมีรูปปั้นกระต่ายอยู่ เขาว่าถ้าโยนเหรียญโดนตัวกระต่ายจะโชคดี ได้กลับมาที่นี่อีก เลยรวบรวมเหรียญในกระเป๋าแล้วตั้งหน้าตั้งตาโยนจนโดนคนรัสเซียแถวนั้นแซว ถามว่าลงบ้างไหม ฮึกฮือออออออออออออ
พอเข้าไปแล้วให้ไปซื้อตั๋วที่ Boat House หน้า Peter and Paul Cathedral (จากรูปคืออาคารเตี้ยๆ หลังคาสีขาว)
พวกเราซื้อตั๋วไปเข้าได้ทุกอย่างราคา 600 RUB เพราะตั๋วแยกเข้า Peter and Paul Cathedral ก็ปาเข้าไป 450 RUB ตั๋วเข้าคุก The Prison of the Trubetzkoy Bastion อีก 200 RUB ใครที่เล็งจะเข้า 2 อย่างนี้ให้ซื้อตั๋วรวมไปเลย ประหยัดกว่า
ตอนที่ซื้อยื่นแบงค์ 5000 RUB กะแตกแบงค์ ให้เจ้าหน้าที่ แต่ป้าไม่ยอมบอกว่าไม่มีตังค์ทอน พวกเราเลยต้องควานหาเศษกันยกใหญ่ ลุงนักท่องเที่ยวชาวจีนมาอีหรอบเดียวกัน แต่ต่างกันที่ว่าลุงแกฟังปะกิตไม่รู้เรื่อง ได้แต่ยืนยักไหล่ ทำมือบุยใบ้ไปเรื่อย จนป้าเจ้าหน้าที่ยอมควักเศษออกมาทอน เช้ดดดดดด นี่มัน negotiation skills ขั้นสูง
อย่าลืมหยิบแผนที่มาด้วยเพราะเดี๋ยวจะเสียเวลาเดินหลงไปหลงมาอย่างพวกเรา
Peter and Paul Cathedral คือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมืองด้วยความสูง 122.5เมตร ภายในเป็นที่ฝังพระศพซาร์และซารีน่าในราชวงศ์โรมานอฟตั้งแต่ซาร์ปีเตอร์ที่ 1 มาจนถึงซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (ยกเว้นซาร์ปีเตอร์ที่ 2 และซาร์อีวานที่ 4) ในปี 1998 ได้นำพระศพของซาร์นิโคลัสที่ 2 ซึ่งเป็นพระเจ้าซาร์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โรมานอฟ และครอบครัวรวมถึงผู้ติดตามมาฝังไว้ที่นี่ด้วย
ไปอ่านป้ายแถวนั้น บอกว่าโหลนของซาร์นิโคลัสเป็นคนสร้าง ไอเราก็งงว่าที่ดูสารคดีมาถูกฆ่าล้างโคตรนี่หน่า จะเหลือพระญาติได้ไง แต่จากการไปยืนแอบฟังไกด์ของทัวร์คนไทยพูดได้ความว่า เป็นเชื่อสายของพระญาติที่ฆ่ารัสปูตินแล้วถูกเนรเทศเลยรอด เออเนอะ
ข้างในมีโลงศพตั้งเรียงรายเลย บางทีก็สงสัยว่าของจริงป้ะเนี่ย ขนลุกด้วยความเป็นเกียรติเล็กน้อย (ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกหรอ)
ขอวิวแบบฟ้าใสอีกรอบ พวกเราอยู่ในเกาะค่อนวันเลยได้รูปโบสถ์มาหลายสภาพอากาศ
ระหว่างที่เดินหาทางเข้าคุก (ตอนนั้นไม่มีแผนที่และเอ๋อพอที่จะไม่หาในกูเกิล) ก็เดินเรื่อยตามทัวร์ออกจากเกาะเฉย (อีกทางกับที่เข้ามา) ด้วยความที่นึกว่าเค้าจะไปคุกกันต่อ เลยถือโอกาสออกมาหาอะไรกิน นั่งชมวิวเกาะไปพลางๆ
ถึงเมฆจะมากแต่แสงแดดก็พยายามแทรกซึมลงมา
นั่งพักขาริ่มตลิงจนพอใจก็ได้เวลาไปผจญภัยกันต่อที่ The Prison of Trubetzkoy Bastion ซึ่งเป็นคุก Bastille ของรัสเซียเพราะเคยเป็นที่คุมขังนักโทษทางการเมืองชื่อดังหลายคน เช่น เจ้าชายอเล็กเซย์ ลูกชายแท้ๆของซารปีเตอร์ที่ 1 เพราะท่านถูกใส่ความว่าคิดกบฏต่อพระบิดาเลยถูกนำมาขังไว้ที่นี่จนสิ้นพระชนม์ (น่าเศร้าแท้) อเล็กซานเดอร์ ราดีเชฟ ผู้เขียนเรื่อง A Journey from St. Petersburg to Moscow มักซิม กอร์กี ผู้เขียนประกาศปฏิวัติเรียกร้องให้ล้มระบบกษัตริย์ และคนนี่เด็ดดวงสุด อเล็กซานเดอร์ อุนยานอฟ พี่ชายของเลนิน ซึ่งถูกประหารเพราะวางแผนปลงพระชนม์ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1
ทางเข้าคุก
ชุดนักโทษสมัยก่อน ตัวที่มีแขนยาวๆเอาไว้สำหรับมัดแขนนักโทษโรคจิต
ตัวคุกมีสองชั้น แต่ละห้องจะมีประวัติของผู้ถูกขังเอาไว้ว่าไปทำอะไรมา ถูกปล่อยตัวเมื่อไหร่ จำลองเฟอร์นิเจอร์ไว้เหมือนสมัยก่อน
ใครอยากดูพี่ชายเลนิน เชิญห้องขังเบอร์ 47
แอบวังเวง
ต่อจากนั้นเราแวะเยี่ยมชม Commander House เป็นพิพิธภัณฑ์การสร้าง Peter and Paul Cathedral ข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อนของรัสเซีย
สวัสดีค่า ท่านผู้การ
รถอย่างเท่
ภาษาอังกฤษไม่ค่อยมี อาศัยมโนเอาล้วนๆ
ออกมาข้างนอก มีทหารรัสเซียจำนวนมากมายืนถ่ายรูปเนื่องในโอกาสอะไรก็ไม่รู้
ถ้าใครอยากขึ้นจุดชมวิวข้างบนกำแพงต้องเสียเงินเพิ่มอีก 300 RUB แพงอ่ะ เลยไม่ไป
เดินออกไปที่จุดชมวิว
สวยงาม
มองวิวเพลินๆดันไปสะดุดซิกแพคของลุงรัสเซียที่มาอาบแดด คือรู้นะว่ามีแดด แต่อากาศยังเลขตัวเดียวผสมลมหนาวอีก เอาง่ายๆลุงเปลื่อยได้แต่หนูต้อง Northface อ่ะคะ นับถือ
มื้อที่สองของวันตอนบ่ายแก่ๆ พนักงานสื่อสารไม่ได้เลยยยย ดีนะเห็นโปรโมชั่นเลยได้กินถูกลง อิอิ
ยังติดใจไก่อยู่
โปรแกรมต่อไปคือการไปนั่งเรือชมลำคลองใน St.Petersburg มีหลายบริษัทที่ให้บริการล่องเรือ ดังนั้นจุดขึ้นเรือจะมีหลายที่
พวกเราไปขึ้นท่าขวามือสุด ในโปรแกรมที่ชื่อว่า North of Venice (อารมณ์เลียนแบบคลองเวนิสในอิตาลี) เส้นทางประมาณนี้
จริงๆมีหลายโปรแกรมล่องเรือ ทั้งกลางวันกลางคืน ใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถคลิ๊กลิงค์นี้ไปได้ ข้อมูลมาเต็ม
จ่ายเงินคนละ 700 RUB (แพงงงงง) ก็กระโดดขึ้นเรือได้ทันที ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. มีผ้าห่มให้ด้วย เดี๋ยวก็ต้องใช้เพราะลมแรงมว๊าก นะนะหนาววว
เรือจะพาเราล่องคลองต่างๆใน St.Peterburg แล้วทะลุออกแม่น้ำเนวา
คนลุกฮือกันเพื่อเก็บรูปวิวกันอย่างกระตือรือร้น คุณสำลีก็(โดนสั่งให้)ปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน
Peter and Paul Fortress ใกล้ๆ
สรุปว่า วิวไม่ได้สวยจับจิตขนาดนั้น สู้ตอนล่องแม่น้ำที่ตุรกีไม่ได้ มีเวลาและเงินเหลือมาล่องก็ดี พลาดก็ไม่เป็นไร ชะเอิงเอย
ล่องเรือเสร็จก็ทุ่มครึ่งพอดี พวกเรารีบวิ่งไปถ่ายวิวพระอาทิตย์ตกดินให้ทันสองทุ่ม ไปถึงนี่อย่างเหนื่อย แต่วิวที่ได้ก็คุ้มค่าอยู่
พาราโนม่า เอ้ย พาโนราม่า
เอาไปเยอะๆ ยืนถ่ายนาน
จบวันอันแสนยาวนานแต่เพียงเท่านี้
Day 8 (13/04): One-day trip @Vyborg
วันนี้ตื่นแต่เช้าเพราะพวกเราจะไปปิกนิกที่ Vyvorg กัน อยากไปดูกับตาว่าเมืองที่มีกลิ่นอายรัสเซียผสมฟินแลนด์นี้มันจะเป็นยังไง โหดแบบฟินๆ?
เรื่องการเดินทางไม่ต้องเป็นห่วง เพราะในแต่ละวันมีรถไฟแล่นไปกลับ St.Petersburg – Vyborg หลายรอบอยู่ การซื้อตั๋วรถไฟง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เพียงแค่มองหาตู้ขายตั๋วที่สถานีรถไฟ Finlandskiy station (เป็นตู้ที่เรียงกันอยู่ตรงมุมขวาล่าง) ซื้อกับตู้จะแน่นอนกว่าเพราะมีภาษาอังกฤษในขณะที่ซื้อกับป้าตรง ticket counter จะเสี่ยงเล็กน้อย ต้องใช้การวงปฏิทินเอา ตั๋วราคาไปกลับ 644 RUB เป็นแบบไปรอบไหนก็ได้กลับรอบไหนก็ได้ไม่ระบุที่นั่ง เครื่องจะแสดงได้แต่เวลาจาก St.Petersburg ไป Vyborg ขากลับต้องไปดูเวลาจากที่นั่นเอาเอง มาซื้อเช้าวันที่จะไปได้เลย ดูเวลาคร่าวๆมาจากเว็บไซต์รถไฟที่ได้แนะนำไปแล้ว แต่จองไม่ได้ อย่าพยายาม เพราะเก๊าทำมาแล้ว ไม่สำเร็จ
รถไฟรอบที่เล็งไว้เป็นขบวนด่วนออกเวลา 8.05 ถึง 9.15 ใช้เวลาเดินทางแค่ 1 ชั่วโมงนิดๆ แนะนำว่าตอนซื้อให้ซื้อเป็นแบบขบวนด่วน ดูจากเวลาที่ใช้ ถ้าไม่ด่วนจะอยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ บัตรขบวนด่วนใช้ขึ้นรถไฟขบวนไม่ด่วนได้ จะได้มีตัวเลือกขากลับมากขึ้น
มาถึงก็จ้องกระดานนี้ให้ดีว่ารถไฟอยู่ track ไหน พอ track ขึ้นปั๊บให้รีบไปขึ้นรถไฟ เนื่องจากตั๋วไม่ระบุที่นั่ง ที่นั่งดีๆติดๆกันจะถูกจับจองเร็วปานสายฟ้าแลบ
พวกเราขึ้นไปช้า เพราะคุณสำลีมัวแต่ไปหาที่ปลดทุกข์ นางเดินกลับมาทำหน้าบูดเพราะเสียเงิน 35 RUB ไปเจอคอห่าน นางบอกนั่งไม่สบายขี้ไม่ได้ เออเนอะ ก็เก็บไปขี้ที่ Vyborg เอาละกัน
บรรยากาศในรถไฟขบวนด่วน ไม่หรูหราแบบ business class แต่ก็สะอาดและเก้าอี้ก็นุ่มสบายตูดมาก วิ่งตั้ง 150 กม./ชั่วโมง มีคนมาตรวจตั๋วบ่อยเกิ๊น หลังๆนี่กำไว้เลยเห็นป้าหน้าดุเดินถือเครื่องแสกนบาร์โค้ดมาใกล้ๆนี่รีบยื่นให้เลย
ตดยังไม่ทันหายเหม็นรถไฟก็เทียบท่าที่ Vyborg พวกเรารีบสะพายกระเป๋ากระโดดลงรถไฟวิ่งไปที่ชานชาลาด้วยความตื่นเต้น (ก็เว่อร์ป๊าย) เจอตำรวจรัสเซียเรียก แถมยังพากันมาล้อมวงขอดูพาสปอร์ต ซวยเลยตู
คิดย้อนกลับไปไม่รู้ว่าเคยอ่านจากที่ไหนว่าให้พกสำเนาพาสปอร์ตไปได้เผื่อเหตุการณ์แบบนี้ แต่ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก หยิบตัวจริงให้เลย (เอาจริงๆถึงให้สำเนาไป ลุงตำรวจก็ขอตัวจริงอยู่ดี) ลุงแกฉวยพาสปอร์ตของพวกเราไปแล้วเปิดหาใบ immigration แล้วโทรศัพท์ไปเช็คที่สำนักงานใหญ่มั้ง อ่านชื่อแบบมั่นใจ ‘ยาเน่’ ตรูชื่อ เจน โว้ยยยยย แม่ตั้งให้เรียกง่ายที่สุดในโลกแล้วเนี่ย แล้วจะหาเจอไหมลุงวันนี้
ตำรวจตุ้ยนุ้ยที่มาคุกคามพวเราอีกคนเดินไปเช็คในสำนักงาน บอกให้รอ 10 นาที เออ ไม่ไปไหนหรอกตราบใดที่พาสปอร์ตตรูยังอยู่กะเมิง ระหว่างที่รอพวกเราก็เดินไปเช็ครอบรถไฟขากลับ ตำรวจที่อยู่เฝ้าพวกเราขอดูตั๋วแล้วบอกว่าเป็นขบวนด่วน กลับได้รอบบ่ายโมงหรือ 3 ทุ่มเท่านั้น ยังคิดในใจเลยว่าดีนะเนี่ยที่บอก ไม่งั้นคงมารอเก้อ (คือจริงๆมันกลับได้หมด ตำหนวจมั่ววววว)
สุดท้ายก็ได้ปล่อยตัวออกมา คุณสำลีพุ่งตัวด้วยความเร็วสูงไปยังห้องน้ำทันที โธ่ ไอเราก็นึกว่ากลัวตำรวจจนเหงื่อตก ระหว่างรอท่านชายขรี้ก็นั่งสำรวจสถานีไป มีล็อกเกอร์ให้ฝากของด้วยสำหรับคนที่พกมาเยอะ
เดินออกมาจากสถานีรถไฟแล้วอดย้อนไปดูจุดเกิดเหตุไม่ได้ ถ้าโดนตำหนวดจับที่นี่จะทำไงฟร้า
เมืองร้างมาก รถเมล์วิ่งกันฝุ่นตลบ ไหนฟระกลิ่นอายรัสเซียฟินแลนด์ที่ตรูตามมาจากรีวิวชาวบ้านเค้า
นอกเรื่อง คือหันไปเห็นราคาน้ำมันถูกมาก อันนี้หน่วย RUB จะคิดเป็นบาทให้หารสอง
ไกด์สำลีเริ่มทำหน้าที่ พาฉันเดินจากสถานีรถไฟประมาณ 15 นาที ก็เจอที่หมายแรก Spaso-Preobrazhenskiy Cathedral เป็นโบสถ์เก่าแก่ของเมืองนี้
ถึงข้างนอกจะธรรมดาแต่ข้างในนี่สวยจริง
อีกโบสถ์ Lutheran Church of St. Peter and Pavel อยู่ใกล้ๆ กระโดดสองก้าวถึง ตอนถ่ายรูปมีนกบินผ่านด้วย อย่างเท่
ข้างในเรียบง่ายดี
เราเดินกันต่อ คุณสำลีทำเสียงตื่นเต้นชี้ชวนให้ดูต้นไม้เกาะสลักประหลาด เพราะถามว่าคืออะไร นางบอกไม่รู้ ไอไกด์ปลอมมมมม
มโนว่าเป็นตึกแบบอารยธรรมฟินแลนด์ (มั้ง?)
ที่หมายถัดไป Round Tower เป็นป้อมโบราณ สั้นๆเตี้ยๆ สร้างเมื่อ 1547-1550 ทุกวันนี้กลายเป็นร้านอาหารแล้ว จริงๆแถวนี้ถือเป็นจุดกลางเมือง มีร้านอาหารอยู่ 3-4 ร้าน เล็งไว้เป็นข้าวเย็นเพราะตอนนั้นคิดว่าต้องค้างเติ่งอยู่ที่นี่ถึง 3 ทุ่ม
คุณสำลีพาเข้าไปเดินตลาดแถวนั้นเล็กน้อย ตอนแรกได้ยินว่าตลาดนี่ตาลุก พอเข้าไปเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เป็นตลาดเล็กๆ ขายของสดกับเสื้อผ้าอย่างละนิดละหน่อย
แต่ที่ชอบสุดคงจะเป็นเสื้อลายท่านผู้นำปูติน เท่ค่อดดด
ไกด์สำลีพาเดินไป Clock Tower เก่ากึ๊กต่อ ปรากฏว่ามันกำลังซ่อมอยู่ คลุมผ้าอยู่ทั้งหลังเบย
ใกล้ๆกันมีซากวิหารอะไรก็ไม่รู้ ผลจากสงคราม Finnish
Statue Of Torkel Knutsson ผู้สร้างเมือง Vyborg นำทหาร Swedish ไปรบชนะ Novgorod เมื่อปี 1292
ไฮไลท์ของวันนี้ Vyborg Castle ตั้งอยู่บนอ่าว Finland เป็นหนึ่งใน 3 ของป้อมปราการระดับเทพของฟินแลนด์ ความจริงแล้วถูกสร้างเพื่อเป็นหน้าด่านทางทิศตะวันออกของสวีเดน สร้างโดย Torkel Knutsson (คนที่สร้างเมืองเมื่่อกี้)
ฝั่งตรงข้ามถนนที่จะข้ามไปปราสาทมีคนเอาแม่กุญแจมาล็อคด้วย ไม่รู้แค่ประดับหรือทำจริงๆ
ที่ขายตั๋วลึกลับนิดนึง แต่เดินตามป้ายที่เขียนว่า Kacca (ticket) ไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เจอ ตั๋วจะแบ่งเป็น Olaf Tower ขึ้นไปชมวิวได้ (80 RUB) และส่วน Museum แสดงภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ของฟินแลนด์ (100 RUB) พวกเราขึ้น Olaf ไปชมวิวพอ
เดินเข้าไปให้อารมณ์ปราสาทพอสมควร
สูงดีเหมือนกัน จะปีนไหวมั้ยหนอ
บันไดแข็งแรงไปป้ะ?
ปีนขึ้นไปได้โดยสวัดสิภาพ ถึงหลังคาเลย
มาชมวิว Vyborg มุมสูงกัน
ต้นไม้โกร๋นมาก ดีนะที่ฟ้าใส อากาศดี ถึงค่อยชื่นใจหน่อย
ตอนนั้นเริ่มคิดอยากกลับเพราะดูไม่มีอะไรให้เที่ยวแล้ว ไม่งั้นต้องรออีกที 3 ทุ่ม คุณสำลีรั้งไว้บอกเดี๋ยวมีเด็ดกว่านี้ แบบเป็นนัมเบอร์วันใน tripadvisor เอาวะ ขอดูเด็ดๆหน่อย ไหนๆก็ถ่อมาแล้ว
ไฮไลท์ของจริงคือที่ที่เราจะไปกันต่อ Park Monrepo จากนี่เดินไปอีก 2 กีโล หรือนั่งรถบัส เลข 1 หรือ 6 ก็ได้ (รถมาจากทางสถานีรถไฟ) หรือสะดวกสบายหน่อยจะนั่งแท็กซี่ก็ได้ ประมาณ 150 RUB พวกเราเลือกเดินเพราะความงกนั่นเอง
ระหว่างทางเจออนุสาวรีย์เต็มไปหมดแต่ไม่รู้ว่าคือใคร แง่ววว
คนนี้รู้ ซาร์ปีเตอร์ที่ 1 ท่านมาทำอะไรเมืองนี้คะท่าน แบบว่าอยู่ทุกทีจริงๆ
ดูลุงเหงามาก (แต่จริงๆลุงอาจจะเอ็นจอยอาบแดดอยู่)
เดินตามแผนที่อากู๋ผ่านทางรถไฟ
ฝ่าฝุ่น (ไม่เข้าใจว่าฝุ่นจะเยอะไปไหนเมืองนี้) ขึ้นเนินจนหอบแฮ่กๆ เกือบจะบีบคอคุณสำลีไปหลายรอบ จนในที่สุดก็ถึง
Park Monrepo Historical, Architectural And Natural Museum Preserve (ชื่อเต็มยาวมาก)
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน (พฤษภาคม – กันยายน) 10:00-21:00 (ตุลาคม – เมษายน) 10:00-18:00
เป็นสวนขนาดใหญ่ กว้าง 440 เอเคอร์ โดย Ludwig Heinrich von Nicolai เข้ามาซื้อไปเมื่อปี 1788 แล้วตั้งชื่อเป็น Monrepo ว่าแต่ต้นไม้จะสูงไปไหน
ไม่พูดพร่ำทำเพลงควานหาเศษเหรียญ 200 RUB เพื่อซื้อตั๋วทันที (จริงๆแอบแพงไปนิดดด)
สวยได้ด้วยฟ้า จุดชมวิวจุดที่ 1 มีคนจับจองเรียบร้อย
ทะเลสาบยังเป็นน้ำแข็งอยู่ เห็นแล้วยังแอบตะลึง ไม่ชินซักที
แกล้งแตะๆไปงั้น ไม่กล้ากระโดดจริงๆ กลัวแตก
เห็นสะพานเล็กๆอยู่ลิบๆเลยเดินพาคุณสำลีไปดูซิว่าสวยไหม หึย ถ้าต้นไม้เยอะกว่านี้จะสวยมากกกกก
ข้ามสะพานไปเจอจุดชมวิวใหม่ เห็นป้อมปราการเล็กๆด้วย เลยนั่งปิกนิกที่โขดหินแถวนั้นมันซะเลย
กินลมชมวิวถึงประมาณบ่าย 2 คุณสำลีก็เรียกให้เดินกลับ จะได้ทันรถไฟรอบ 15.45 ว่าจะไปต่อรองขอเปลี่ยนตั๋วเป็นขบวนธรรมดาหรือซื้อใหม่แม่ม (คือตอนนั้นยังไม่รู้ว่าใช้ตั๋วขบวนด่วนขึ้นขบวนไม่ด่วนได้)
ขออีกรูป วิวแปลกดี ไม่เคยเห็น
ขากลับใช้อากู๋นำทางไป ให้ข้ามทางรถไฟกันอย่างนี้เลยวุ้ย
อันนี้ทะเลสาบใกล้สถานีรถไฟ มีเรือสำราญอะไรซักอย่างจอดอยู่
ถึงสถานีรถไฟ เดินไปยื่นตั๋วให้ป้าขายตั๋ว ป้าโบกมือให้เข้าเฉยเลย ลุงตำหนวด นอกจากกักขังหนูแล้วยังหลอกหนูอีก ชิชะ
โดดขึ้นเลย
บนรถร้อนมาก คนยังมาจองที่นั่งก่อนรถไฟออกกันตรึม ที่นั่งขบวนไม่ด่วนเป็นแบบแข็งๆ แถวล่ะ 3 ที่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเพราะหยุดมันทุกสถานี ดีๆ ขึ้นรถไฟ 4 เที่ยวก็ได้ลองมันทุกแบบตั้งแต่แบบตู้นอน แบบ business class แบบขบวนด่วน และแบบชนชั้นสามัญที่แม้จะนั่งไม่สบาย แต่ก็หลับมาตลอดการเดินทางด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทรหดมาตลอด 8 วันที่ผ่านมา
กลับมาถึง St.Petersburg ประมาณ 5 โมงเย็น รีบกลับไปจัดกระเป๋า อาบน้ำเพราะพรุ่งนี้ต้องบินไป Moscow แต่เช้า ไม่อยากคิดสภาพถ้ากลับมาถึงตอน 4 ทุ่ม คงเหนื่อยน่าดู
Day 9 (14/04): เปียกโชกที่ Moscow
วันนี้พวกเราตื่นกันตั้งแต่ตี 5 กว่าๆ คุณสำลีรีบวิ่งไปอาบน้ำ ส่วนฉันไม่อาบก็ยังหอม เหอะๆๆ พวกเราลากกระเป๋าไปเช็คเอ้าท์ อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนเหมือนอยู่คนละโลกกับเมื่อวาน ดูจากพยากรณ์อากาศแล้วหิมะจะตกที่ St.Petersburg ตอนเย็นๆ คุณสำลีบ่นเสียดายใหญ่ ตั้งแต่มายังไม่ได้เห็นหิมะตกเลย เห็นแต่เวอร์ชั่นที่กองละลายอยู่กับพื้น
ขากลับพวกเราบิน Aeroflot ตกอยู่ที่ 900 บาท ได้โหลดน้ำหนักอีกคนละ 20 กิโล ถูกและดี มีขนมให้ด้วย พอกินได้ ไม่ถึงกับไม่อร่อย
บ๊ายบาย St.Petersburg
ใช้เวลาเพียง 1.30 ชม กัปตันก็พาเครื่องร่อนลงสนามบิน Vnukovo อย่างสวยงาม ถึง Moscow เมืองหลวงของดินแดนหมีขาวอย่างแท้จริง
การเดินทางเข้าเมืองจากสนามบิน Vnukovo ทำได้ดังนี้
- Aeroexpress (www.aeroexpress.ru) ไป metro Kievsky (สายสีน้ำเงิน) 06:00 – 00.00, 35 mins, one-way fare: 400 RUB สถานีอยู่แถวๆที่จอดรถใกล้กับ Terminal A and D
- Bus: 611 และ 611c ไป metro Yugo-Zapadnaya (สายสีแดง) 30 mins 50-70 RUB ป้ายรถเมล์อยู่หลังที่จอดรถ ตรงข้ามกับ Terminal D.
- Shuttle: 705M ไป metro Oktyabr’skaya (Circle Line) 35-40 mins, 130 RUB + 10 per item of baggage
พวกเราเลือกตัวเลือกที่ 2 เพราะถูกดี แต่ที่หามาว่า 70 RUB จ่ายจริงดันเป็น 150 RUB เห้ยยย อัลไลๆๆ ซวยซ้ำสองคืออินเตอร์เน็ตหมดค่าาาา กรีดร้อง แล้วชั้นจะหาโรงแรมเจอได้อย่างไร ดีที่มีผู้ชายรัสเซียที่นั่งอยู่ข้างๆให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี แม้จะเห็นว่ามีแฟนเป็นคนอินเดียสะกิดถามนู่นนี่เป็นระยะ (คุณสำลีอย่าขัดสิเวลาเดี๊ยนเจอผู้ชายหล่อ) โอ้ย น่ารักขาดใจ
พูดถึงระบบ Metro ที่ Moscow เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก เอาแผนที่ไปดูก่อนแล้วจะตกใจว่ารถไฟหรือใยแมงมุมคะคุณพี่
คือเยอะและงงได้อีก ถึงได้บอกว่าให้โหลด app เตรียมไว้เลย ช่วยได้มาก
แนะนำให้ประเมินว่าจะใช้ Metro ประมาณคนละกี่เที่ยวแล้วซื้อบัตรเอา บัตรใบหนึ่งใช้ได้หลายคน แตะแล้วส่งต่อ ซื้อเที่ยวเยอะๆก็ถูกลง อย่างพวกเราอยู่ 3 วัน 2 คน ซื้อ 20 เที่ยว 650 RUB ตกประมาณเที่ยวละ 32.5 RUB จากปกติเที่ยวละ 50 RUB แถมยังสะดวกสบาย ไม่ต้องต่อแถวซื้อตั๋วทุกครั้งที่ใช้ Metro
Metro ที่ Moscow ขึ้นยากกว่าที่ St.Petersburg เยอะ เพราะแทบไม่มีภาษาอังกฤษและคนก็เยอะมากกกก ตอนขึ้นใช้การนับสถานีเอาและพยายามฟังเสียงพูดในรถไฟซึ่งก็งงอยู่ดี Metro ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมที่สวยงามและแฝงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ถ้าดูมาหลายๆรีวิวจะเห็นว่าเค้าจะไป Metro tour กัน มันคือการนั่งรถไฟไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ ถามว่าพวกเราได้ไปไหม
ทาดา… ไปค่า 1 สถานีถ้วน Metro tour เราล่มไม่เป็นท่า เพราะหนึ่งคือร่างกายบอบช้ำไม่ไหวแล้ว และเหนื่อย เอ่อ จะพูดซ้ำทำไม
แม้จะไปมา 1 ที่ถ้วนก็ขอโชว์หน่อย สถานี Ploshchad Revolyutsii (Пло́щадь Револю́ции) สายสีน้ำเงิน
เป็นสถานียอดฮิตแห่งหนึ่ง จุดเด่นคือมีรูปปั้นทำจากบรอนซ์ 76 จุดอยู่ตามเสาของสถานี มีทั้ง ไก่ ทหาร คนงานชาวโซเวียต นักเรียน ที่โด่งดังมากคือรูปปั้นผู้ชายถือปืนคู่กับสุนัข ซึ่งคนรัสเซียเชื่อว่าถ้าลูบที่จมูกรูปปั้นสุนัขจะโชคดี คนที่เดินผ่านจะลูบจมูกรูปปั้นกันแทบทุกคน คือลูบกันจนจมูกหมาเงาแว๊บ
แนะนำว่าควรไป Metro tour ตอนกลางคืน เพราะกลางวันคนเยอะจนถ่ายรูปไม่ได้เลย แต่ก็ต้องระวังโจรปล้นซักนิด เอาเงินติดตัวไปพออยู่ได้ในวันนั้นพอ
กลับมาสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเรานั่ง Metro และเดินลากกระเป๋าหนักๆ มาถึง Open Hostel Fantomas ที่จองไว้ แต่เจ้าหน้าที่ดั๊นบอกว่าระบบจอง error มีคนจองมาชน ตอนนี้ห้องเต็ม อ้าวเฮ้ย ระเบิดเกือบลง ดีที่นางรีบบอกว่าจะหาที่พักให้พร้อมเรียกแท็กซี่โดยที่ไม่คิดอะไรเพิ่มทั้งสิ้น
เอาวะ ถือว่าได้ลองนั่งแท็กซี่รัสเซีย ตามสภาพที่เห็น นางยืนดูเราขนกระเป๋าขึ้นหลังรถเอง ไม่ช่วยอะไร เชอะ
หลังจากฝ่ารถติดมาเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงแรมที่ใหม่ชื่อ Greenville มีเจ้าหน้าที่เดินมารับ จ่ายค่าแท็กซี่ให้ 450 RUB (คิดเป็นเงินไทยแล้วยังแพง รู้สึกว่าไม่ได้นั่งมาไกลมาก)
ช่างมัน เร่งด่วนกว่าคือต้องเช็คก่อนว่าที่พักนี่พอให้ซุกหัวนอนอีก 2 คืนได้ไหม
แอบดูใน Agoda ราคาอยู่ที่ประมาณพันกว่าบาท แต่เราจ่ายมาไม่ถึงเจ็ดร้อย ถึงจะไกลจากตัวเมืองไปหน่อย (สถานี ULITSA 1905 GODA สายสีม่วง) แต่มีห้องน้ำในตัว สะอาดและน้ำแรงด้วย ให้อภัยได้
เก็บของแล้วออกลุย อากาศที่ Moscow อยู่ที่ประมาณ 11-18 องศา ร้านกว่าอากาศที่ St.Petersburg อยู่เกือบ 10 องศา ขนาดว่าฝนตกพร่ำๆยังไม่หนาวเท่าไหร่ คนที่นี่ไม่ได้แต่งตัว high fashion เหมือนใน St.Petersburg เพราะฉะนั้นถ้าใส่เสื้อกันหนาวสีฉูดฉาดมามีเด่นแน่ๆ (แถมยังเป็นเป้าให้พวกมิจฉาชีพอีก)
ที่แรกที่เราจะไปกันคือพิพิธภัณฑ์อวกาศของรัสเซีย The Museum of Cosmonautics ฟ้าทะมึนเชียว
เวลาทำการ: อังคาร, พุธ, ศุกร์-อาทิตย์: 10:00-19:00 พฤหัส: 10:00-21:00 (ปิดทุกวันจันทร์)
การเดินทาง: VDNKh (สายสีส้ม)
ตัวพิพิธภัณฑ์จะอยู่ชั้นใต้ดิน เสียค่าเข้าคนละ 250 RUB เอากล้องถ่ายรูปเข้าคิด 230 RUB แต่เห็นแอบถ่ายกันตรึม (รวมถึงพวกเราด้วย แรกๆก็เอามือถือแอบถ่าย ซักพักควักกล้องออกมาเลย)
เสียดายน่าจะซื้อ audio guide มาด้วย (150 RUB) เพราะตามป้ายมีแต่ภาษารัสเซีย ภาษาอังกฤษมีอยู่กะติ๊ด (คือเมิงกะให้คนในประเทศเดียวอย่างเดียวใช่มั้ย?)
ทางเข้าติดภาพ ยูริ กาการิน เอาไว้เพราะเพิ่งผ่านวันครบรอบที่ยูริไปเยือนอวกาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษา (จริงๆวันนั้นพวกเราอยู่ St.Petersburg มีคนแต่งชุดอวกาศเดินตามถนนด้วย) มีวิดีโอบันทึกภาพวันที่เค้ากลับมาจากอวกาศ โห เยี่ยงกษัตริย์ แบบว่ามีประชาชนมาโบกมือให้ ขอจับมือ ซุปตาร์มาก ว่ากันว่ารัฐบาลรัสเซียคัดเลือกคนที่ฟันสวย จะได้ยิ้มสวยออกสื่อ และก็ต้องตัวเล็กหน่อยจะได้อยู่ในชุดอวกาศได้ เสียดายที่ ยูริ กาการิน ด่วนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินขณะซ้อมด้วยอายุเพียง 34 ปี ไม่งั้นคงสร้างประวัติศาสตร์ได้มากกว่านี้
ข้างในมีการจำลองทั้งจรวด กระสวยอวกาศ สถานีอวกาศ ชุดนักบินอวกาศ วันนี้มีนักเรียนรัสเซียมาทัศนศึกษาเยอะมาก วิ่งกันวุ่นจนเวียนหัว แต่ละคนท่าทางตื่นเต้นจนอดสงสัยไม่ได้ว่าการเป็นนักบินอวกาศคงเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของเด็กหลายๆคนในประเทศนี้ คือไม่ได้เอื้อมถึงกันง่ายๆแต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดเป็นไปไม่ได้
มีทำเนียบนักบินอวกาศถึง 119 คน เยอะมากเมื่อเทียบกับชาติอื่น พวกเด็กๆมันคงเรียนกันมาหมด เห็นครูที่มาด้วยไปยืนเอาไม้จิ้มๆอธิบายเรียงคน
อาหารที่นักบินอวกาศกินกัน ไม่เห็นน่าอร่อยเลย
อยู่ข้างในแล้วอึดอัดไหมหนอ
ยานสำรวจเก็บตัวอย่างตามดาวต่างๆ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัสเซียและอเมริกาที่ล่มเบอร์ลินได้ ได้ตัวนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันมาอยู่ด้วยค่อนข้างเยอะ ในช่วงสงครามเย็นจึงมีการแข่งขันทางอวกาศอย่างสูงระหว่างรัสเซียกับอเมริกา (นาซ่า) แข่งขันกันไปถึงช่วงหนึ่ง ทั้งสองประเทศเริ่มหันมาจับมือกัน มีโครงการขึ้นไปในอวกาศด้วยกัน ปัจจุบันนี้รัสเซียไม่ค่อยมาทุ่มทุนด้านนี้แล้ว ปล่อยให้อเมริกาเป็นผู้นำและเริ่มมีจีนมาเอี่ยวในวงการ
สหรัฐถึงกับส่งชุดอวกาศ (ของจริง) มาเป็นของขวัญในโอกาสการเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย
จากที่คิดว่าจะอยู่แค่แป๊บเดียว ใช้เวลาเดินไปกว่า 2 ชม. เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สนุกและเพลิดเพลินเกินคาด ใครสนใจแนวนี้ห้ามพลาดเด้อ
ที่สนุกสุดต้องคนนี้ ถึงกับกลับไปนอนดูสารคดีต่อที่โรงแรม
เห็นแล้วแอบทึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่ไม่เคยอยู่อย่างสงบสุข มีสงครามและการเมืองปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา จะสามารถเจริญได้ขนาดนี้ ทั้งการสร้าง Metro รถไฟ เทคโนโลยีทางอวกาศ ขนาดว่าคนส่วนใหญ่อ่านอังกฤษหรือแทบพูดภาษาที่สองไม่ได้ แสดงว่ามีความรู้มหาศาลไหลเวียนอยู่ในประเทศ
ชอบอนุสาวรีย์นี้มาก โค่ดเท่ ก่อนกลับขอซักรูป
สถานที่ต่อไปคือ Moscow State University (Московский государственный университет имени М. В. Ломоносова)
การเดินทาง: Universitet (Университе́т) สายสีแดง เดินประมาณ 15-20 นาที
หนึ่งในตึก Seven Sisters (7 ตึกใน Moscow ที่สร้างเหมื่อนกันเปี๊ยบ) เป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังคล้ายๆ จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ บ้านเรา คนจากหลายๆเมืองในรัสเซียจะมาเรียนที่นี่ เหมือนเป็นที่ๆทุกคนใฝ่ฝัน ไม่ว่าเราจะเดินจากด้านไหน เราจะเห็นเหมือนกันหมดทั้งสี่ด้าน
ระหว่างกำลังถ่ายรูปอยู่นั้น ฝนก็เทลงมาโครมใหญ่ พวกเราพยายามเดินไปหา Metro ที่อยู่ใกล้สุด (ซึ่งโคตรรรรจะไกล)
ผ่าน Sparrow hill (Воробьёвы го́ры) ซึ่ง เคยเป็นที่ประทับชมวิวของกษัตริย์มาก่อน ข้างๆมีกระเช้าสกีเล่นตอนหน้าหนาว ความพิเศษคือที่นี่เป็นที่ๆสามารถมองเห็นตึก Seven Sisters ทั้ง 7
ม่ายยยยย Seven Sisters นู๋วววววววววววววววววววววว
ถึงจุดที่เปียกจนร่างกายไม่มีจุดที่แห้ง
ตัดสินใจกลับไปอาบน้ำอุ่นๆที่โรงแรมและนั่งดูสารคดีอวกาศกับคุณสำลี สบายยยย
Day 10 (15/04): Red Square
ฝนยังตกต่อเนื่องจากเมื่อวาน อากาศเย็นกว่าเมื่อวานเยอะพอสมควร พวกเรากินอาหารเช้าง่ายๆโดยอุ่นไส้กรอกกินกับคอร์นเฟลกใส่นม (ความเป็นอยู่เริ่มยาจกขึ้นทุกวัน)
ก่อนจะไป Red Square ซึ่งเป็นจุดหมายหลักในวันนี้ พวกเราแวะไป Cathedral of Christ the Savior หรือ St. Xavier (Храм Христа Спасителя) เก็บตกจากเมื่อวาน
เวลาทำการ: 10:00-17:00 ทุกวัน (วันจันทร์ เปิด 13:00-17:00)
การเดินทาง : Kropotkinskaya(Кропо́ткинская) สายสีแดง ออกมาจะเจอโบสถ์เลยแล้วให้ข้ามถนน
เป็นโบสถ์ Orthodox ที่สูงที่สุดในโลก สร้างขึ้นเพื่อถวายพระเกียรติแด่ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ที่สามารถรบชนะนโปเลียนและกองทัพฝรั่งเศสได้ในสงครามปี 1812 ใช้อิฐในการก่อสร้างทั้งสิ้น 40 ล้านก้อน และใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 45 ปี เงินที่ใช้ในการก่อสร้างได้มาจากงบประมาณของประเทศและจากการบริจาคของประชาชนที่ศรัทธา ขณะที่ก่อสร้างได้มีการขุดพบหลุมศพโบราณและซากแมมมอธด้วย มหาวิหารแห่งนี้ยังใช้เป็นประกอบพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดินิโคไลที่ 1 อีกด้วย
แม้ว่าวิหารแห่งนี้ใช้เวลานานกว่า 45 ปี ในการสร้าง แต่การทำลายใช้เวลาวันเดียว ในสมัยการปกครองของสตาลิน ซึ่งต้องการล้มล้างศาสนาแล้วให้ประ่ชาชนมาเคารพตัวเองแทน สตาลินมีโครงการขนาดใหญ่ที่จะสร้างพระราชวังโซเวียต (The Palace of Soviet) โดยจะสร้างตึกระฟ้าสูงถึง 415 เมตร โดยที่บนยอดนั้นจะมีอนุสาวรีย์ของเขาซึ่งสูง 106 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่ แต่เนื่องจากที่ดินตรงนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำจึงไม่รองรับโครงการขนาดมหึมาขนาดนี้ได้ สตาลินจึงให้ขุดฐานรากและดัดแปลงเป็นสระว่ายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ต่อมาปี 1990 เริ่มระดมเงินบริจาคจากทั่วประเทศเพื่อสร้างมหาวิหารขึ้นมาใหม่ เริ่มก่อสร้างในปี 1995 โดยใช้รูปแบบเดิมแต่ใช้กรรมวิธีใหม่และวัสดุใหม่ ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2000
ข้างในห้ามถ่ายรูป ต้องแต่งตัวเรียบร้อย ผู้หญิงควรมีผ้าคลุมผม ส่วนผู้ชายตรงกันข้ามจะห้ามใส่หมวก โบสถ์มีสองชั้นคือชั้นแรกและชั้นใต้ดิน ตกแต่งสวยดีแต่ยังไม่เท่าวิหารหยดเลือด
บนสะพานฝั่งขวาของโบสถ์ มองเห็นแม่น้ำ Moscow ที่ไหลผ่ากลางเมือง และมองเห็น Kremlin ตั้งตระหง่านอยู่ (ว่ากันว่าเป็นวิวที่เห็น Kremlin สวยที่สุด)
ต่อไปเราจะไปเที่ยวรอบๆ Red Square กัน เริ่มที่ Moscow Kremlin (кремль) กันก่อนเลย
เวลาทำการ: 10:00 – 18:00 ทุกวันยกเว้นวันพฤหัส (ticket office เปิด 9:30 – 16:30)
การเดินทาง: ลงสถานี Alexandrovsky Sad (Алекса́ндровский сад)
พวกเราควักกระเป๋าซื้อบัตรคนละ 500 RUB เข้าแค่ Cathedral Complex แต่ไม่เข้า Armoury Chamber (อีก 700 RUB) และ Diamond Fund (อีก 500 RUB)
ดูแผนที่แล้วใหญ่น่าดู
Kremlin สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1147 โดยมกุฎราชกุมารแห่งนครเคียฟ เจ้าชายยูริ โดลโกรูกี ในอดีตเป็นเพียงป้อมปราการไม้ธรรมดาที่เป็นเหมือนหัวใจของกรุง Moscow ตามความเชื่อของชาวรัสเซีย Kremlin คือที่สถิตย์ของพระเจ้า ในอดีตเครมลินเป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์และของประธานาธิบดีของรัสเซีย Kremlin จึงเป็นศูนย์รวมของทั้งทางศาสนาและการปกครอง จนกระทั่งยุคของซาร์ปีเตอร์ที่ 1 ทรงย้ายเมืองหลวงจาก Moscow ไปยัง St.Petersburg ปัจจุบันเป็นที่ประชุมของรัฐบาลและที่รับรองแขกระดับประมุขของประเทศ Kremlin เป็นปราการที่มีกำแพงล้อมรอบคลอบคลุมพื้นที่คล้ายรูปสามเหลี่ยมด้านไม่เท่า รวม 28 เฮกเตอร์ แนวกำแพงรวมหอคอย 19 แห่ง ยาว 2,235 เมตร
เดินผ่านเข้าประตูมาไม่ไกลเราจะเจอ Tsar Bell (царь-колокол)
เป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนักกว่า 200 ตัน และมีลวดลายสวยงามบนตัวระฆัง น้ำหนักมากขนาดนี้หากแกว่งทีหนึ่งก็คงจะเสียงดังกังวานไปไกล แต่น่าเสียดายที่ระฆังนี้ยังไม่เคยมีเสียงหรือไม่เคยถูกใช้สักครั้ง เพราะในขั้นตอนการหล่อยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ ตัวระฆังยังอยู่ในเตาหล่อใต้ดิน ก็เกิดไฟไหม้ขึ้นภายใน Kremlin หลังจากเพลิงสงบน้ำที่ใช้ดับไฟได้ซึมลงไปในเตา อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้ระฆังร้าวและแตกออกมาอย่างในภาพที่เห็น เป็นเหตุให้ระฆังใบนี้ต้องมาตั้งอยู่ที่พื้นพร้อมกับชิ้นส่วนที่แตกออก (เฉพาะส่วนที่แตกก็มีน้ำหนักถึง 11 ตันแล้ว) แทนที่จะได้แขวนอยู่บนหอระฆังอย่างสง่างาม
ไม่ไกลจากกันนั้น เราจะเจอ Tsar Cannon (царь-пушка)
ปืนใหญ่พระเจ้าซาร์ สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1586 ว่ากันว่าเป็นปืนใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักถึง 40 ตันด้วยกัน แถมด้านหน้าปืนใหญ่ยังมีลูกกระสุนตั้งซ้อนกันอยู่ด้านหน้า 4 ลูก โดยแต่ละลูกก็หนักถึง 1 ตันทีเดียว แต่ปืนใหญ่กระบอกนี้ก็ไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน แป่ววววว
ข้างๆคือ Ivan the Great Bell Tower (Иван Великий колокольня)
เป็นหอระฆังขนาดใหญ่และสูงที่สุดใน Kremlin มีความสูงถึง 81 เมตร สร้างโดยเจ้าฟ้าชายอิวาน ผู้ทรงมีสมญานามว่าอิวานถุงเงิน แต่เดิมนั้นหอระฆังนี้สูงเพียง 60 เมตรเท่านั้น แต่ภายหลังได้มีการต่อเติมให้สูงขึ้นไปอีกอย่างในปัจจุบัน มีระฆังแขวนอยู่ถึง 21 ใบด้วยกัน
Cathedral Complex หรือจัตุรัสวิหาร เป็นส่วนที่สวยงามแห่งหนึ่งของ Kremlin ประกอบด้วยวิหาร 3 หลังที่สำคัญนั่นคือ Assumption Cathedral, Annunciation Cathedral และ Archangel’s Cathedral
- Assumption Cathedral (Успенский собор)
วิหารที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดใน Kremlin เป็นวิหารที่ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของแม่พระมารีย์ผู้กำเนิดพระเยซู ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญๆ อย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าซาร์ เจ้าฟ้าชาย จักรพรรดิ และผู้มีตำแหน่งเทียบเท่าพระสังฆราช มาเป็นศตวรรษ - Annunciation Cathedral (Благовещенский собор)
ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอีวาน โดยสร้างครอบโบสถ์เก่า เดิมมี 3 ยอดต่อเติมเพิ่มเป็น 9 ยอด ถูกใช้เป็น Home Church สำหรับพระเจ้าซาร์ เจ้าฟ้าชาย ในการประกอบพิธีในราชสำนักต่างๆและยังใช้เป็นที่เก็บสมบัติมีค่าของราชวงค์อีกด้วย - Archangel’s Cathedral (Архангельский собор)
ภายในบรรจุศพของพระเจ้าซาร์ 46 พระองค์ ตั้งแต่ค.ศ.ที่ 14 จนถึงก่อนซาร์ปีเตอร์ที่ 1 ย้ายเมืองหลวงไปที่ St.Petersburg ถ้าประกอบกับที่ไป Peter and Paul Cathedral ที่ St.Petersburg มา กลายเป็นว่า พวกเราได้เข้าถึงพระศพของซาร์ทุกพระองค์ในรัสเซียแล้ว แอบขนลุก
เดินๆไปซักพักคุณสำลีเริ่มหันมาทำหน้าเบ้เพราะเท้าเจ็บ ฉันแทบจะตบกะโหลกตัวเองเพราะพกยาครบเซ็ทมาหลายวัน เห็นว่าไม่ได้ใช้เลยเอาออกเมื่อเช้า เลยรีบพานางไปพักในห้าง Gum Shopping Mall
พวกเราไปกินที่ร้านอยู่ชั้นบนสุด มีที่นั่งร่มสีๆ เดินไปชี้ว่าจะเอาอะไรบ้าง แล้วไปจ่ายตังค์ที่เคาน์เตอร์ มีพิซซ่า สลัดหลายๆแบบ ขนมปังต่างๆ และขนมหวาน มื้อนี้หมดไป 710 RUB
แวะชิมไอติม ร้าน Мороженое ตามรีวิว คนเยอะมาก แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ต่างจากไอติมเนสเล่ แถมโคนยังไม่กรอบเพราะป้าแกเล่นตักไอติมใส่โคนรอแล้วเอาไปแช่ในตู้ ราคาตั้งโคนละ 50 RUB และไม่ยอมให้จ่ายเหรียญอีกต่างหาก ว๊อททททท
หลังกินอิ่มและพักจนคุณสำลีรู้สึกดีขึ้น ก็ถึงเวลาไปเดินลั่นล้าที่ Red Square
ศูนย์กลางของ Moscow เป็นเสมือนหนึ่งสัญลักษณ์ของรัสเซียก็ว่าได้ ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอีวานที่ 3 เป็นสถานที่จัดงานแสดงใหญ่ๆ และการชุมนุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเฉลิมฉลองทางศาสนา หรือการประท้วงทางการเมือง ปัจจุบันใช้จัดงานในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ เช่น วันปีใหม่ วันชาติ วันแรงงาน และวันที่ระลึกสงครามโลกครั้งที่ 2
คำว่า “แดง” มีรากศัพท์มาจากภาษาโบราณของชาวสลาฟว่า “krasny” ซึ่งไม่ได้หมายถึงสี แต่หมายถึง ความสวยงาม และการรื่นเริง สถานที่น่าแวะชมที่อยู่บริเวณ Red Square คือ
- Moscow Kremlin (кремль) พระราชวังเครมลิน ที่เราไปกันมาแล้ว
- Gum Shopping Mall ห้างสรรพสินค้ากูม สถานที่กินข้าวกลางวันของเรา
- State Historical Museum พิพิธภัณฑ์แห่งชาติรัสเซีย
- Lenin’s Mausoleum สุสานเลนิน
- St. Basil’s Cathedral วิหารเซ็นต์บาซิล
ขอเน้นที่ St. Basil Cathedral ที่เป็นจุดเด่นของ Red Square ซักหน่อย
เวลาทำการ: 11.00 – 17.00 ทุกวันยกเว้นวันพุธ (ticket office เปิดขายจนถึงเวลา 16:30)
การเดินทาง: มาได้จากเมโทร 3 สถานี Okhotny Ryad (Охотный ряд), Ploshchad Revolyutsii (Площадь Революции), Teatralnaya (Театральная)
วิหารขนมหวาน St. Basil ที่มีอายุกว่า 500 ปี สร้างโดยซาร์อีวานจอมโหด (Ivan The Terrible) เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของสงคราม Kazan Khanate จุดเด่นคือมีโดมหัวหอม 8 โดมที่ออกแบบไม่เหมือนกัน ตามประวัติเมื่อสร้างเสร็จ ซาร์ได้ถามผู้ออกแบบว่ายังจะสามารถออกแบบได้สวยกว่านี้อีกไหม ผู้ออกแบบตอบว่ายังได้อีก เลยถูกจับไปควักลูกตาเพราะซาร์ไม่อยากให้มีอาคารใดสวยไปกว่านี้อีก เวรกรรม
เมื่อจ่ายเงิน 350 RUB ก็จะสามารถเข้าไปเยี่ยมชมภายในโบสถ์ St. Basil ได้ เป็นโบสถ์คริสต์นิกายออโทดอก-รัสเซียนจะบูชารูปวาดพระเยซูเป็นหลัก (ไม่ใช่รูปปั้นกางเขนแบบโรมันคาโทลิค) ข้างในไม่ค่อยสวยประทับใจ ไม่เข้าก็ยังได้
ตรงทางเข้า Red Square ให้เราไปยืนตรงกลางแล้วขว้างเหรียญไปข้างหลัง ถ้ายังอยู่ในกรอบ มีความเชื่อกันว่าจะได้กลับมาสถานที่นี้
จนเหรียญเกือบหมดตัวก็ไม่เข้ากรอบซักที แง้
ขากลับเราแวะซื้อขนมรัสเซียกลับไปฝากเพื่อนๆที่ไทยอยู่นาน (ไม่อร่อยเบย) ก่อนจะกลับไปพักผ่อน จัดกระเป๋า เตรียมตัวบินกลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้น
Day 10-11 (16-17/04): Goodbye Russia
วันนี้ตื่นขึ้นมารู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บ ฝนตกค่อนข้างหนักเอาการ พวกเรากินข้าวเช้าง่ายๆเสร็จแล้วออกไปเช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแล้วออกไปซื้อของฝากที่ Izmailov Market (ИзмайловВ рынок)
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน (วันพุธจะเป็นวันขายส่ง)
การเดินทาง: Partizanskaya (Партизанская) สายสีน้ำเงิน
เป็นตลาดของฝากและของที่ระลึกที่ใหญ่ที่สุดใน Moscow เหมาะเหม็งสำหรับซื้อของฝาก ถ้าเป็นวันธรรมดาจะได้ราคา Business day ซึ่งจะถูกลง แต่ของจะเยอะสู้วันเสาร์และอาทิตย์ไม่ได้
วันนี้ตลาดไม่คึกคักแม้จะเป็นวันเสาร์ เพราะฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง (มันจะมีช่วงเวลาไม่ตกบ้างมั๊ยยยย) ของที่ระลึกที่เห็นขายๆกัน เช่น เหรียญตรา กระสุนปืนที่ระลึกจากสงครามโลก แล้วก็สิ่งที่เราจะไปซื้อ นั่นก็คือตุ๊กตาแม่ลูกดก มีทั้งแบบถูกและแพง แกะออกมาได้ 5 ตัว หรือ 10 ตัว หรือมากกว่า หลากหลายมาก มีตุ๊กตานักการเมืองไทยด้วย
พ่อค้าแม่ค้าหลายคนฟังภาษาไทยรู้เรื่องหรือแม้กระทั่งพูดได้ปร๋อ พวกเราซื้อตุ๊กตาแม่ลูกดกมาคนละตัว จริงๆขายอยู่ตัวละ 1,600 RUB ต่อได้เหลือ 2,450 RUB (2 ตัว) แถมพวงกุญแจอีก 2 อัน
ขากลับจากตลาดหิมะตกสมใจคุณสำลี พวกเรารีบกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมแล้วไปสนามบิน Domodedovo โดยสามารถเลือกวิธีการเดินทางได้ดังนี้
- Aeroexpress: จาก metro Paveletsky (สายเขียว),40-50 mins, 470 RUB
- Express Buses: จาก metro Domodedovskaya (สายเขียว), 06:00-00:00, 25-30 mins, ออกทุก 15 mins
- Shuttles : จาก metro Domodedovskaya (สายเขียว),06:00 to 00:00, 25-30 mins, ออกทุก 15 mins Nighttime schedule (from 00:00 to 06:00): 00-00; 00-40; 01-20; 02-00; 02-40; 03-20; 04-00; 04-40; 05-20; 06-00.
เผื่อเวลาเดินทางกันซักนิด (ถ้ายังไม่อยากตกเครื่อง) วันนั้น Metro สถานีหนึ่งดันเสียพอดี เลยทำให้พวกเราต้องอ้อมซะไกล (พร้อมลากกระเป๋าใบใหญ่ๆอีกคนละใบ) กว่าจะถึงสนามบินซัดไป 1.30 ชม.
แวะเปลี่ยนเครื่องที่ Novosibirsk เหมือนเดิม คราวนี้คนไทยเต็มเครื่อง รออยู่ประมาณ 4 ชั่วโมงก็ได้เวลาบอกลาดินแดนหมีขาวแห่งนี้อย่างแท้จริง
หวังว่าจะได้พบกันใหม่เด้อ
ก่อนจะจากกันไปจริงๆ ขอแถมเกร็ดเล็กน้อยน่าสนใจที่ฉันและคุณสำลีรวบรวมมาจากรัสเซีย
- คนรัสเซียชอบอ่านหนังสือใน Metro ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ kindle หรืออ่านจากมือถือ น้อยคนมากที่จะเล่น social network ส่วนเกมส์ที่เล่นจะเป็นเกมส์ประเภทประเทืองปัญญา
- คนใน Moscow ใจดำกว่าเมืองอื่นๆ แต่ถ้ามีน้ำใจก็จะมีน้ำใจแบบสุดติ่ง (ฉันโดนอีลุง 2 คน ใน Moscow ด่าเพราะเดินช้า กับไปสะกิดตรีนอันใหญ่โตของมัน พอก้มหัวขอโทษเป็นปะกิตปั๊บ แม่งเดินหนีเฉย ไรฟระ)
- คนรัสเซียเดินเร็ว (เพราะขามันยาว) และชอบแทรกคิวเป็นชีวิตจิตใจ คือมีช่องหน่อยก็แทรกเข้ามา อย่าโมโห ปลงๆไปซะ
- ขนมปังและเบเกอรี่ที่นี่ หาความอร่อยไม่ได้ เชื่อฉัน ลองมาเกือบทั้งประเทศ ยกเว้นเครปรัสเซีย อร่อยเหาะ
- ข้าวที่นี่ ไม่เป็นเหมือนอาหารนก ก็โคตรจะแข็ง
- ใน St.Petersburg ผู้คนแต่งตัวเหมือนกำลังเดินอยู่บน cat walk ส่วน Moscow จะแต่งตัวกันทึมๆเหมือนอมทุกข์กันทั้งเมือง
- คนรัสเซียจะอยู่ไม่สุขบนเครื่องบิน เด็กๆวิ่งเล่นตามทางเดิน ผู้ใหญ่จับกลุ่มยืนคุยกัน เวลากัปตันเอาเครื่องลงจะได้รับเสียงปรบมือ ยกเว้นลงไม่นุ่มนวล
- คนรัสเซียพูดปะกิตแทบไม่ได้ คนที่พูดพอได้จะกระตือรือร้นในการพูดกับเรามาก แต่ถ้าพูดไม่ได้จะทำหน้าโมโห (อ้าว ตรูผิดอีก)
Metro ใน Moscow มีคนเยอะมากตลอดเวลาตลอดทั้งวัน ไม่รู้ว่ามาจากไหนกัน - น้ำมี 2 แบบ ถ้าจะซื้อน้ำแบบไม่อัดแก๊สให้มองหาคำว่า Het
- เข้า supermarket ต้องพกถุงไปด้วยไม่งั้นเสียเงินเพิ่มประมาณ 5 RUB
ร้านอาหารในรัสเซียไม่มีนโยบายให้ซอสฟรี อยากได้จ่าย 20 RUB - เวลาสั่งอาหารให้ถ่ายรูปแล้วเอาให้พนักงานดู
ใบ immigration เก็บให้ดีๆ จะโดนขอดูบ่อยมาก เช่น ทุกครั้งที่ check in เข้าโรงแรม เจอตำหนวด ฯลฯ - การมีโทรศัพท์ในรัสเซียเป็นเรื่องที่จำเป็น นอกจากจะเอาไว้หาเส้นทางกับติดต่อกับทางบ้าน ยังเอาไว้โทรหาโฮสเทลหรือโรงแรมที่เราจะไปพัก (บางทีหาไม่เจอหรือประตูข้างนอกล็อก เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้อยู่ตลอดเวลาให้เช็คเอ้าท์)
- อาหารตักราดค่อนข้างอันตรายกับคนที่งบจำกัดเพราะบางอย่างมันจะคิดตามน้ำหนักของอาหาร (ที่พนักงานซึ่งสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้เลยเลือกตักให้) แต่ควรลองซักครั้งเพื่อความมันส์ในชีวิต ควรเลือกร้านถูกๆโดยสังเกตจากจำนวนคนเยอะๆในร้าน
- ถ้าเป็นร้านเฟรนไชส์เดียวกัน แต่ราคาจะเปลี่ยนไปตามสถานที่ตั้ง เช่น ร้านหน้าถนนจะขายแพงกว่าร้านที่อยู่ในซอยนิดนึง
- ตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ไปกดซื้อตามตู้เองได้ ส่วนพวกแจ๊คเก็ต โค้ท ต้องฝากใน cloakroom
- ให้จำภาษารัสเซียคำว่า Exit = Выход เป็นประโยชน์มากเวลาหาทางออกจากอะไรซักอย่างในเวลาอันรวดเร็ว เช่น สถานี Metro
- อันนี้หนุ่มๆคงอยากรู้ ผู้หญิงรัสเซีย ถ้าสวยนี้คือนางฟ้า แต่ถ้าธรรมดาก็โคตรจะธรรมดา ส่วนสูงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 170 ซม. ส่วนผู้ชายชาวรัสเซียจะหน้ากลมๆ ตัวหนาๆใหญ่ๆ บางคนก็สูงเกิน 2 เมตรจนหัวชน Metro เหมือนยักษ์ น่ากลัวมาก
ถึงเวลาลาจาก ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนจบค่ะ
ไกด์(ปลอม)
และช่างภาพสำลี
สนุกดีนะะะะะ ชอบๆๆ
แต่รูปเยอะมากกก
ดูไม่หมดเลยทีเดียว เดี๋ยวเน็ตหมด 5555555555
อ่านแล้วอยากไปเที่ยวเองบ้างเลย ไว้จะไปตามรอยบ้าง เคยคิดว่ารัสเซียไปยาก ตอนนี้ความคิดเปลี่ยนเลย
ขอบคุณค่าาาา
สุดยอดครับ ครบเครื่องในตอนเดียว
-v-
อ่านแล้วเพลินเลยค๊า….เดี๋ยวตามไปบ้างคะมีนาคม17นี้….แต่คงอาศัยทัวร์ ไม่สามารถไปเองได้ ชั่งโมงบินน้อย เที่ยวเองไกลสุดแค่ฮ่องกง
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ รีวิวอ่านเข้าใจง่าย ภาพสวยเป็นประโยชน์มากๆ กำลังจะไปปลายเดือนพฤษภาคม2017นี้ค่ะ
ขอให้สนุกค่า
จะต้องไปใช้ชีวิตทำงานในเมือง St. Petersburg สำหรับคนที่ไม่รู้ภาษารัสเซียเลย เเต่เคยอยู่ประเทศหนาวติดลบ 20 องศามาบ้าง คิดว่าพอไหวมั้ยคะ? ช่วยเเนะนำด้วยค่ะ. เเละค่าครองชีพที่นั่นเทียบกับกรุงเทพเเล้วเเพงหรือถูกกว่ากันคะ?
อันนี้จากประสบการณ์ที่ไปแค่ 12 วันนะคะ คิดว่า St.Petersburg อยู่ง่ายกว่า Moscow เยอะสำหรับคนต่างชาติค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ภาษารัสเซียเลยค่อนข้างจะลำบากพอตัวเพราะคนเค้าไม่พูดภาษาอังกฤษกัน ค่าครองชีพเท่าๆกับกรุงเทพค่ะ
รูปสวยมากเลยครับ หน้าร้อนนี้จะไปเที่ยวตามครับ
ไม่ทราบว่าบอกได้ไหมครับว่ากล้องกับเลนซ์อะไรหรือครับ ชอบอารมณ์รูปมากเลยครับ
ใช้ Sony NEX6 (กล้องคุณสำลี) กับ Sony NEX5n (กล้องเจน) ค่ะ
ระเอียดและรูปสวยมากครับ กำลังวางแผนที่จะไป ถ้ามีอะไรอยากรู้ขอสอบถามนะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ