ความเดิมตอนที่แล้ว เวลา 19.15 น. พวกเรายังค้างเติ่งอยู่แถวทะเลสาบคืนดาบ ซึ่งไกลจากจุดนัดพบที่จะไปรับกระเป๋าพอสมควร หน่ำซ้ำยังต้องเรียกแท็กซี่ต่อไปสถานีรถไฟฝ่ารถติดวันขึ้นปีใหม่ไปให้ทันเวลารถไฟออกคือ 19.40 น. เท่ากับเรามีเวลาไม่แค่ 25 นาที
Jackie หามอเตอร์ไซค์รับจ้างได้ 2 คันได้ในที่สุด พวกเราจึงกระโดดขึ้นนั่งแบบซ้อนสอง Jackie กับน้องชายของฉันหนึ่งคัน แม่และฉันอีกคัน
ฉันเคยคิดแว้บหนึ่งว่า ถ้าจะให้ทันในสถานการณ์แบบนี้ อาจจะต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ไปสถานีรถไฟ แต่ด้วยที่มากับแม่แล้วกระเป๋าที่เอามาก็ไม่ใช่กระเป๋าเป้ backpack ดันเป็นกระเป๋าลากตั้ง 4 ใบ เกินจำนวนคนที่มีจะถือขึ้นมอเตอร์ไซค์ด้วยซ้ำ ความคิดนี้เลยถูกปัดตกอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่ซิ่งมาที่จุดนัดพบ แม่ก็ตะโกนผ่านลมมาว่า “แม่ว่าต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ไปสถานีรถไฟ ไม่งั้นไม่ทัน” ฉันตะโกนแข่งกับลมถามกลับว่าแม่ไหวหรอ แม่พยักหน้าหงึกหงัก ฉันเริ่มจินตนาการว่าเราจะยกกระเป๋ากันยังไง อาจจะนั่งคนละคัน น้องชายอาจจะต้องแบก 2 ใบ
มอเตอร์ไซค์จอดที่จุดนัดพบ Martin กับพนักงานโรงแรมอีกคนวิ่งมาพร้อมกับกระเป๋าของเรา 4 ใบ Martin เอาถุงใส่แซนวิซยักษ์สไตล์โรงแรมมายัดใส่มือฉัน ทำเอาอึ้งเพราะคาดไม่ถึงว่าจะทำแซนวิชมาให้จริงๆ Jackie วิ่งมาบอกให้จ่ายค่ามอเตอร์ไซค์ 100,000 VND ส่วนเขาจะไปเรียกแท็กซี่และรับผิดชอบค่าเดินทางไปสถานีเอง ฉันบอกว่าเราจะไปโดยมอเตอร์ไซค์ Jackie มองหน้าฉันอยู่ชั่วครู่ (คงประเมินศักยภาพอยู่) แล้วพยักหน้า หันไปคุยกับพี่วิน ฉันนึกว่าจะไปตามอีกคันมาแต่ว่าไม่ หันไปอีกที น้องชายสุดหล่อของฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับกระเป๋าลาก 3 ใบ เหลือกระเป๋าอีกใบกับแม่อีกคนไว้ให้ฉันจัดการตามไป
ฉันวิ่งไปขอบคุณ Martin ที่เอากระเป๋ามาส่ง อีกทั้งทำแซนวิชมาให้ฟรีๆ ให้ทิปไป 100,000 VND ฉันวิ่งกลับมาขอบคุณ Jackie ที่ยืนอยู่กับมอเตอร์ไซค์ให้ทิป 100,000 VND ให้ แล้วบอกว่าค่าเดินทางไปสถานีรถไฟพวกเราจะรับผิดชอบเอง Jackie ดูลำบากใจเล็กน้อย สำหรับพวกเราเขาน่ารักและไม่ทอดทิ้งให้เราหาทางออกกันเอง ทั้งวันฉันไม่เห็นเขากินอะไรซักอย่าง ทำงานหนักและยอมให้ฉันกดดันเรื่องเวลามาตลอด ประทับใจมากมาย
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงสถานีรถไฟด้วยการฝ่ามาหลายไฟแดง พ่อที่อยู่บนสวรรค์คงก่นด่าไม่เบาว่าเอาแม่มาลำบากอะไรที่นี่ ขอโทษนะคะพ่อ
เราจ่ายค่ามอเตอร์ไซค์ 200,000 VND tour manager ส่งคนมารอรับเราอยู่แล้ว จัดการช่วยลากกระเป๋าเดินนำไปที่ขบวนรถไฟทันที
ถึงแล้วที่นอนในคืนนี้
สภาพของแต่ละคนตอนถึงรถไฟ ดีใจอย่างกับถูกหวย
แม่บอกว่าสนุกดี เหมือนได้เป็นนางเอก Fast & Furious 8 (= =^)
นั่งพักอยู่ไม่ถึง 10 นาที รถไฟออกทันที หยิบนาฬิกาออกมาดู ตรงเวลามาก 21.40 น. พอดีเป๊ะ
tour manager ส่งข้อความมาบอกว่าใจหายใจคว่ำหมด เพราะถ้าพวกเราตกรถรอบนี้ ปกติจะขึ้นรอบต่อไปหรือไปรถบัสได้ แต่เพราะเป็นวันขึ้นปีใหม่ ทุกอย่างเลยเต็มหมด ถ้าพลาดคืออยู่ Hanoi ยันกลับแน่นอน
พอกินขนมปัง Martin อิ่มแล้วก็ได้เวลาออกสำรวจรถไฟราคา 40 USD (1,440 THB) ต่อคนต่อคืน (สยองเหมือนกันกับราคาช่วงปีใหม่)
เริ่มจากอ่างล้างหน้าและห้องน้ำ (อยู่ตรงข้ามกัน) สภาพถือว่าโอเค อาจจะเปลี่ยนเสื้อผ้าลำบากหน่อยเพราะแคบและแรงสั่นสะเทือนจากการเดินรถไฟระดับ 8 ริกเตอร์ กว่าจะเปลี่ยนกางเกงเสร็จนี่หัวโขกไปผนังห้องน้ำหลายครั้ง
ทางเดินแสนแคบ ต้องแขม่วพุง (เว่อร์) เวลาเดิน
เตียงนอนแสนสบายสำหรับคนสูงไม่เกิน 170 ซม. เท่านั้น ถ้าสูงเกินกว่านี้ก็นอนงอขากันนะคะ นอนเตียงล่างหรือบนได้อย่างเสียอย่าง ฉันลองมาหมดแล้วพบว่าเตียงล่างนอนยืดแข้งยืนขา ใช้ปลั๊กไฟได้สบายกว่า แต่เสียงดังชะมัดเนื่องจากอยู่ใกล้ล้อ ส่วนเตียงบนนอนไม่สบายเท่าเตียงล่างแต่เสียงก็ไม่ดังเท่าเหมือนกัน
มีน้ำคนละขวด คุ๊กกี้คนละอัน ทิชชู่เปียก และปลั๊กไฟให้ 2 รู เจ้าน้องชายนอนชาร์ตแบตเล่นเกมสบายอุรา
จะขึ้นไปนอนบนเตียงชั้นบนยังไง ไม่ยาก แต่พวกเราหากันนานมาก ถ้าไม่ได้เพื่อนร่วมห้องอีกคน (ชื่อ มึนหรือแมนนี่แหละ เป็นไกด์ให้ชาวแคนาดา) แนะนำก็คงงงกันอีกนาน เหยียบไอ้นี่ขึ้นไปเลยแล้วค่อยพับเก็บ
อุณหภูมิในรถไฟอุ่นสบายไม่ต้องพึ่งเสื้อกันหนาว ผ้าห่มอุ่มหนา หอมเป็นบางช่วงของผืน (เอิ่ม) หมอนเตี้ยไปหน่อย เอาเสื้อกันหนาวมาพับช่วยหนุนก็พอกล้อมแกล้มไปได้ ประสบการณ์ครั้งแรกในการนอนบนรถไฟ ก็ไหวอยู่นะ
2 Jan
พวกเราถึงสถานี Lao Cai ในเวลา 5.30 น. tips อย่างหนึ่งคือควรจะตื่นมาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเพื่อล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า(ให้หนาขึ้น) เพราะพอรถไฟจอดปุ๊บ อีกไม่ถึง 10 นาที เจ้าหน้าที่รถไฟจะมาไล่เราลง
รถมารอท่าอยู่แล้ว บอก warmly welcome แต่หน้าหรือตูดคะพี่ ขออนุญาตตัดออกจากภาพ
รถตู้ที่จ้างมาคนละ 3 USD พาเราขึ้นเขาไป 45 นาที ส่งถึงที่ที่หน้าโรงแรมที่จองไว้ Sapa Panorama Hotel
ด้วยความหิวจัด เลยซื้อบุฟเฟต์อาหารเช้าในโรงแรมกินมันซะเลย คนละ 3 USD ถ้วน
ไลน์อาหารเช้า แทบจะไม่มีเนื้อสัตว์ เน้นแป้ง ผัก กับพืชจำพวกหัว เช่น มันฝรั่ง ฟักทอง
ได้อาหารมาแล้วยิ้มเลย
กินอิ่มแล้วยังเช็คอินไม่ได้จนกระทั่ง 12.30 น. แต่มีห้องอาบน้ำไว้ให้ใช้บริการ พวกเราตัดสินใจไม่อาบน้ำ (หนาวและขี้เกียจ ประกอบกับเห็นจำนวนคนแล้วถึงกับสยอง) เข้าห้องน้ำ ทำธุระนิดๆหน่อยๆก็พร้อมลุยต่อ
หมอกลงจนมองแทบไม่เห็น หนาวเย็นจนพ่นลมเป็นควันไอ (แกจะเขียนคล้องจองทำไมไม่ทราบ)
อากาศขนาดนี้ยังจะเปิดนำพุอีก
โบสถ์ประจำเมืองอะไรซักอย่างแน่ๆ คนเค้าไปมุงกัน พวกเราก็ไปบ้าง
สถานที่ฆ่าเวลาแห่งแรก Hum rong ดูในทีวีเค้าบอกว่าเป็นอุทยานเงียบๆ เหมาะจะมาเดินเล่นพักผ่อน ว่าแต่เงียบตรงไหนไม่ทราบ นึกว่าอยู่ในขบวนรถ BTS ตอน 8 โมงเช้า
จ่ายค่าเข้าไปคนละ 70,000 VND (แพงกว่าใน Hanoi อีก) ก็ได้แผนที่กับบัตรผ่านประตูมาถือไว้คนละชุด
มีเดินอยู่ 23 จุด แค่ไปถึงจะที่ 2 ก็เมื่อยแล้ว เมื่อเสียเงินมาแล้วก็ต้องกัดฟันปีนป่ายเนินเขาต่อไป หนทางยังอีกไกลนัก
อย่าเพิ่งหิวกันได้มั้ย ได้ข่าวว่าเพิ่งกินมา น้องชายตอบว่า หมูทั้งตัวปิ้งขายอยู่กลางป่า จะไม่ให้หิวได้ไง
คนจะเยอะแค่ช่วงแรกๆ ยิ่งเดินมาไกลเท่าไหร่ยิ่งไม่มีคน นักท่องเที่ยวจากเกาหลีที่ใส่ส้นสูงมาเดินล่าถอยตั้งแต่จุดแรกๆ แม้จะมีผู้กล้า แต่น้อยคนนักที่จะเดินคุ้มเงินอย่างพวกเรา (ไอ้งก)
ลูกทัวร์หอบ แต่สู้
ให้ปีนหรือลอด คุณแม่ทำหมดค่ะ สุดยอดจริงๆ
ตัดหญ้าเป็นชื่ออุทยานซะเลย
เดินไปชั่วโมงกว่าถึงหมดสวนพอดี ออกไปเดินชมเมืองต่อ
ไว้ซื้อเคบับกิน (ตกลงมาเวียดนามหรือตุรกี) แล้วฮิตด้วยนะ มีขายหลายร้านเลย
นั่งขายของมันหนาว เจอพัดลมฮีทเตอร์ซะหน่อย
ยังอีกกว่าชั่วโมงถึงจะได้ห้อง เลยหาร้านกาแฟนั่งหลบลมหนาว ที่นี่คนสูบบุหรี่ในร้านอาหารหรือร้านกาแฟเยอะมาก ทำเอาคนแพ้บุหรี่อย่างฉันไอจนน้ำตาเล็ด
จริงๆตรงนี้ใกล้ทะเลสาบกลางเมืองมาก แล้วก็เห็นอยู่ว่าคนเค้ามุงอะไรกัน แต่ด้วยความหนาวและขี้เกียจเลยไม่ได้ไปดู แล้วก็ลืมไปเลยจนกระทั้งกลับแล้วเห็นแว๊บๆตอนนั่งอยู่บนรถ อยากจะเขกหัวตัวเองยิ่งนัก
ขอเอาภาพจากที่อื่นมาให้ชมนะคะ ขอบอกว่าเสียดายมากเพราะอีกวันอากาศดี หมอกไม่ลงจัดเหมือนวันนี้เสียด้วย
แวะซื้อเกาลัด สินค้ายอดนิยมของที่นี่ แต่ก็เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้แม่ปวดท้องเช่นกัน TT
กลับมาถึงโรงแรม ห้องก็พร้อมพอดี พนักงานส่งกุญแจให้ทำเอางง ไม่รู้ว่ากุญแจหรือหมอน
มาดูห้องราคาคืนละ 2,868 THB ว่าจะหรูซักแค่ไหน แต่ตอนนี้ที่รู้ๆคือการบริการคนละเรื่องกับที่ Hanoi พนักงานหน้าตาไม่ยิ้มแย้ม ให้ยกกระเป๋าขึ้นไปเอง ไม่นำทางด้วยนะ (ทั้งที่มีพนักงานเยอะกว่าโรงแรมที่ Hanoi เป็นเท่าตัว)
เห็นห้องแล้วค่อยหายหงุดหงิด
มี balcony ด้วย แต่หนาวขนาดนี้ขอเอนจอยวิวอยู่ข้างในดีกว่า
ห้องน้ำกว้างขวาง มีผ้าขนหนูอยู่สามผืนแต่ไม่มีผืนเล็กให้ ต้องเตรียมไปเองนะคะ
อาบน้ำแล้วเผลอนอนไปชั่วโมงกว่า ท้องก็ร้องจนต้องตื่นมาหาอะไรกิน
แต่น แต้น มันคือหม้อไฟนั่นเอง ประกอบด้วยหมู ไก่ และปลา (มีแปลแซลมอนมา 3 ชิ้นด้วยนะ)
จริงๆแล้วคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษไม่คล่องเหมือนที่ Hanoi เช่น ถามว่ามีแซลมอนไหมบอกว่าไม่มี แต่พอเอามาดันมี ถามว่าราคาเท่าไหร่บอก 200,ooo VND แต่คิดเงินจริงๆจิ้มเครื่องคิดเลขได้ 400,000 VND แอบมึนตาม
ช่างเถอะ เรามากินกันต่อ คนเวียดนามชอบกินเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากเป็นชีวิตจิตใจ ที่ไหนๆก็มี
แม่เริ่มปวดท้องจากการกินเกาลัด เลยต้องอพยพกลับโรงแรมไปพักผ่อน ชมวิวริมระเบียงห้องพลางๆ หมอกเริ่มบางจนเห็นเมือง
พอแม่อาการดีขึ้นก็ออกชมเมืองอีกครั้งในช่วงเย็น ลานกว้างนี่เรียกว่า Love Market เป็นสถานที่ที่ให้คนหนุ่มสาวชาวเขาได้มาพบรักกัน พอปิ๊งกันปุ๊บจะพาออกไปคุยในป่า สเต็ปถัดมาคือพาฝ่ายหญิงไปอยู่ที่บ้าน ถ้าอยู่ได้ 3 วันโดยไม่หนีไปซะก่อนฝ่ายชายก็จะไปสู่ขอมาเป็นแม่ของลูกในอนาคต อิอิ
จากนั้นก็เดินเลยไปซอยข้างๆ มีของขายอยู่เยอะน่าสนใจ
มีซุปเปอร์มาเก็ตอยู่หัวมุมถนน เผื่อใครอยากซื้อขนมของใช้ตุนไว้ยามขาดแคลน
ถนนสายนี้เป็นแหล่ง The North Face ก็อปเกรดอะไรไม่รู้ รู้แต่เสียดายที่ไม่ได้ซื้อซักชิ้นเพราะที่ฮานอยไม่มีให้ซื้อแล้ว
ตอนแรกไม่รู้ว่าก็อปไม่ก็อป เดินไปถามคนขายที่พูดภาษาไทยได้ เขาบอกว่าตัวนี้ปลอม 1,500 บาท ตัวนี้ของแท้ 2,500 บาท ซื้อผ้ามาจากฝรั่งและแม่ผมเย็บเอง เอิ่ม บ้านพี่เรียกปลอมแล้วหนู
นอกจากเสื้อกันหนาว กระเป๋า รองเท้า อุตสาหกรรมการนวดยังเป็นที่นิยมมาก
มาดูเรทราคากัน พอๆกับไป Health Land ในเมืองไทยเลยมั้ง
สุดซอยมีโรงแรมอยู่ด้วย ส่องๆดูจึงรู้ว่าวิวสวยชะมัด อยากจะเข้าไปขอถ่ายรูปจริงๆ
เนื่องจากต้องพาแม่ไปพักผ่อนเลยขอตัดไปอีกวันใน Sapa เลยนะคะ อ่อ ตอนกลางคืนคุณแม่หนาวมาก พนักงานก็อุตส่าห์เอาผ้าห่มมาให้ฟรี ได้คะแนนนิยมไปนิดนึงหลังจากที่ติดลบมาตั้งแต่เช้า
พรุ่งนี้เราจะไป trekking 12 กิโลกันที่ Lao Chai กับ Ta Van village เดินดูธรรมชาติและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขา จะเป็นยังไงนั้นติดตามได้ในตอนถัดไปค่ะ