3 Jan
วันนี้จะมีไกด์มารับไป trekking 12 กิโล เดินไปหมู่บ้าน Lao Chai และ Ta Van ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวเขา โดยไกด์จะมารับในเวลา 8 โมงเช้า เมื่อวาน tour manager ส่งข้อความมาบอกว่าทัวร์ของเราจะเป็นแบบ private ไม่รู้ว่าได้รับการ upgrade หรือทัวร์ราคาที่จองไว้ 15 USD (540 THB) ต่อคนเป็นแบบนี้อยู่แล้ว พวกเราเลยตื่นมาอาบน้ำ กินข้าวแต่เช้า มองลอดระเบียงห้องอาหารไป อูววววววว ไม่เห็นอะไรเลย แบบนี้ไปเดินแล้วจะเห็นอะไรไหม
เหมือนสวรรค์เห็นใจในความพยายามดั้นด้นมาที่นี่ของเรา ฟ้าเลยเปิดให้แดดส่องลงมา พวกเรากำลังเก็บกระเป๋าอยู่บนห้องถึงกับตะลึง ถลันไปคว้ากล้องถ่ายรูปทันที กลัวว่าถ้าช้า ฟ้าจะปิดซะก่อน
วิวจากระเบียงห้องงดงามประทับใจ
ไกด์เป็นสาวชาวเขาชื่อชู มาเลทไปครึ่งชั่วโมงแต่ก็รู้ว่าเธอรีบจริงๆ เธอพูดออกมาคำแรกนี่ถึงกับตะลึง สำเนียงแบบว่าดีเลิศศศศศ ชูบอกว่าเรียนจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ทำงานด้วยอยู่ทุกวันนี่แหละ พูดได้อย่างเดียว อ่านและเขียนไม่ได้ เดี้ยนขอเอามือทาบอกด้วยความตกใจ
คุณแม่อาการดีขึ้นมากและก็ตื่นเต้นมาก ซ้อมเดินอยู่ที่บ้านมานานนับเดือนเพื่อวันนี้
หมอกลงอีกครั้ง
ชูเดินพามาถึง Love Market ก็ให้พวกเรายืนรอ แล้วเธอก็รีบวิ่งไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมลูกน้อย 1 คน O.o
ชูบอกว่าเธออายุ 21 ปี แต่งงานตั้งแต่อายุ 17 ปี มีลูกแล้ว 3 คน คนนี้คนที่ 3 คุณพระ! ถ้ายังเล็ก ยังกินนมแม่อยู่ คนเป็นแม่ต้องแบกไปไหนมาไหนด้วย เลยขวบครึ่งถึงจะวางใจทิ้งไว้ที่บ้านได้ ชูอธิบายต่อว่าเป็นเรื่องปกติของชาวเขาที่จะแต่งงานเร็วประมาณ 15-17 ปีแถมยังมีลูกเยอะอีกตั้งหากบางครอบครัวมี 7-8 คนก็มี
เดินๆอยู่ก็มีสาวชาวเขาตามไปอีก 4 คน พวกเราก็งงๆมาเดินด้วยทำไม เลยเลียบๆเคียงๆถามชูว่าเค้าจะไปเก็บของป่ากลับมาขายหรอ ชูบอกว่าเค้าจะเอาของไปขายพวกเราตอนเรากินข้าว อาฮะ แต่ไปคนเดียวก็พอมั้ง
ทางราบเรียบ เดินสบาย แต่หมอกหนาไปหน่อย แรกๆรถสวนไปมาค่อนข้างเยอะ เดินแล้วมันยังไม่ได้บรรยากาศ
ซักพักทางที่ราบเรียบอยู่ดีๆเปลี่ยนเป็นทางชัน โคลนเละ ต้องขอถอนคำพูดว่าสาวชาวเขาเหล่านั้นมาทำไมกันเยอะแยะ เพราะพวกเขามาช่วยจับเราให้เดินลงเขานี่เอง หนึ่งในนั้นกำลังท้องอยู่ด้วย ถามว่าอายุเท่าไหร่ เธอบอกว่า 40 ปี ห๊ะ!
ขณะที่คนอื่นยังพอทำเนา คนที่เกร็งจนเหงื่อตกคงเป็นน้องชายของฉันที่เอารองเท้ามาผิด แทบจะสกีลงมาเลย สาวชาวเขาต้องมะรุมมะตุ้มกันช่วยจับไว้ไม่ให้ล้ม ใครอยากจะมา trekking แนวนี้อย่าลืมเตรียมรองเท้ามาดีๆ หรือยืมเอาที่โรงแรมก็ได้ ไม่แน่ใจว่ามีให้ยืมทุกโรงแรมเลยหรือเปล่า
ฟ้ายังไม่เปิดแต่ก็พอมีวิวให้ถ่ายระหว่างทาง
หันหลังไปอีกทีตกใจ ควายตัวใหญ่มาก
อยู่ดีๆชาวเขาที่เดินมาด้วยก็หายตัวไป กลับมาอีกทีมีของชำร่วยที่ทำจากของป่ามาฝากกัน
แม่ได้เยอะสุด เพราะดูเป็นคนที่มีอำนาจการตัดสินใจและเงินเยอะที่สุด แต่หารู้ไม่ กระเป๋าเงินทั้งใบน้องชายฉันถือไว้อยู่ หุหุ
พวกเราสามแม่ลูกมาถึงแล้วน้า เวลาถ่ายรูปแบบนี้แล้วมันขาดไปคน แอบคิดถึงพ่อเบาๆนะเนี่ย
เริ่มเห็นนาขาบันไดอันลือชื่ออยู่ลิบๆ
คุณแม่ดูเอนจอยกับอากาศและธรรมชาติไม่เบา
หมูป่าเล่นดินอยู่ จ้ำม้ำน่ากิน เอ้ย น่ารัก จัง
ทางชันรอบสอง ยากกว่ารอบแรกอีก
สภาพรองเท้า ฮือออออออออออ
Sapa ขึ้นชื่อว่ามีนาขั้นบันไดที่สวยติดอันดับของโลก ชูบอกว่า ถ้าอยากจะมาเห็นนาจริงๆให้มาเดือนกรกฎา จะเห็นนาเป็นสีเขียว สิงหา เขียวแซมเหลือง ส่วนกันยา นาจะเหลืองอร่าม ใครชอบสีไหนแนวไหนก็เลือกวันเวลาให้ดี ถ้ามาหนาวหนาวแบบนี้ก็เอาสีเขียวแซมน้ำตาลไปก่อนแล้วกัน
ลูกน้อยของชูเริ่มงอแง เลยขอแวะให้นมลูกซักหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าแบกเด็ก 6 กิโลเดินขึ้นลงเขาที่ทั้งชันทั้งลื่น แข็งแรงและมีทักษะสูงมว๊ากกก
เด็กน้อยอิ่มแล้วก็อารมณ์ดี
เดินกันต่อเข้าสู่หมู่บ้าน Lao Chai
ชูชี้ให้ดูกลุ่มของร้านอาหารที่เราต้องข้ามสะพานไปหา ติดป้ายว่า free wifi ด้วยนะเออ
เรามากินกันที่ร้าน Black Hmong ซึ่งเป็นเผ่าม้งของชู นอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆเผ่าที่ฉันจับไม่ได้ว่าชื่ออะไรกันบ้าง แต่ละเผ่าจะมีชุดประจำเผ่าของตัวเองแตกต่างกัน
พอนั่งลงปุ๊บ ชาวเขาที่เดินมากับเราก็เปิดการขายด้วยกระเป๋าใบล่ะ 200,000 VND ทันที (แถวเชี่ยงใหม่ประมาณ 20 บาท) ขี้เกียจต่อเลยบอกขอไม่เอาของ เอาแต่เงิน 140,000 VND ไปแบ่งกัน 4 คน เลยได้กำไลข้อมือเป็นสินน้ำใจมาคนละอัน
นั่งรอแล้วรออีก จนจากไม่หิวกลายเป็นหิวมาก อาหารก็มา clean มากกก
ระหว่างนั่งรอข้าวและกินข้าว ยังมีชาวเขาขึ้นมาขายของเป็นระยะ ทั้งเด็กและแก่ แต่ทั้งหมดเป็นผู้หญิง ถามชู ชูก็บอกว่าเพราะเด็กผู้หญิงออกมาขายของ หัดพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติตั้งแต่เล็กๆ ส่วนเด็กผู้ชายก็อยู่บ้าน เล่นนู่นนี่ไป เลยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนใหญ่คนในหมู่บ้านผู้หญิงจะทำหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัว แต่คนที่อยู่บนภูเขาสูงขึ้นไป ผู้ชายจะหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการทำนาและใช้แรงงาน
พิสูจน์ได้ว่าเดินมาเหนื่อยกันจริงๆ ขนาดจืดๆนี่แทบจะขูดจานกันกิน
ทานเสร็จ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย แล้วออกเดินชมหมู่บ้านกันต่อ
สัตว์ยอดนิยมของชาวบ้านคือ เป็ด นั่นเอง จะบอกได้ว่าเป็นของบ้านไหนดูจากสีที่ใช้ทาบนตัวเป็ด
ควายและหมูป่าก็นิยมไม่แพ้กัน
โรงเรียนประถม มีโรงเรียนอนุบาลและมัธยมอยู่ไม่ไกลกันนัก
อีกกรุ๊ปทัวร์เดินผ่านเราไป สังเกตกางเกงของนักท่องเที่ยวที่อยู่ตรงกลางแล้วพวกเราก็ลงความเห็นตรงกันว่า สงสัยคงล้มตอนปีนลงมาแน่ๆ
เข้าสู่หมู่บ้าน Ta Van ที่เป็นแหล่งรวมของ Homestay
ขนาด Spa ยังมี
ชูโทรเช็คแล้วว่ารถยังไม่มา เลยพาเราเดินต่ออีก 2 กิโล ฝนตกพร่ำๆลงมาพอดี
ว่ากันตามจริงมา Sapa ตอนฤดูหนาวก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
แม้จะผ่านมารวม 10 กิโล ลูกทัวร์ก็ยังเดินอย่างกระฉับกระเฉง
แม้จะอยู่กลางหุบเขา แต่เพราะเป็นหุบเขาที่สูงมากเลยเรียกได้ว่าอยู่กลางเมฆเลยทีเดียว
เราเดินมารอรถตอนบ่ายสอง ชูโทรหาคนขับรถอีกครั้ง ได้ยินเสียงตวาดดังกลับมา ชูวางสายทำหน้ามุ่ยแล้วบอกว่ารถจะมารับเราบ่ายสาม เท่ากับเราต้องนั่งรอ 1 ชั่วโมง
พวกเราเข้าห้องน้ำ ซื้อน้ำซื้อขนมกินได้ซักพักก็เริ่มเบื่อ ชูคงรู้เลยพาเดินข้ามสะพานไปรอรถอีกฝั่งหนึ่ง
เมฆเป็นสายเลย
บ่ายสามตรงรถก็มา คนขับหน้าเป็นตูดไม่ต่างจากเสียง ขับรถตะลุยขึ้นลงดอยด้วยความเร็วเกินกว่าคำว่าปลอยภัย พร้อมแซงซ้ายแซงขวาได้ทุกเมื่อ ระหว่างทางเห็นวิวของ Sapa อันหน้าตื่นตะลึงแต่ก็ไม่กล้าบอกให้จอด เอาเป็นว่าภาวนาให้รอดปลอดภัยไปถึงตัวเมืองก็เป็นบุญแล้ว
เพราะต้องไปรอรับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มอยู่นาน กว่าจะมาถึงตัวเมืองก็ 4 โมงแล้ว แดดออกผิดกับเมื่อวาน ยังกับคนละเมือง ก่อนลงคนขับย้ำว่า 5 โมงเย็นรถจะไปรับที่โรงแรมเพื่อไปสถานีรถไฟ (ฉันซื้อบริการรถรับส่งไว้ แต่ตอนแรก tour manager บอก 5 โมงครึ่ง)
ฟ้าใสมาก
ซื้อเคบับแล้วไปนั่งเล่นในสวนสาธารณะกลางเมือง
พอกินหมดก็ได้เวลากลับโรงแรมเพื่อเตรียมตัวกลับ อย่างแรกที่ต้องทำคือล้างรองเท้าก่อนเลย มีก๊อกน้ำ สายยาง และแปรงเล็กๆไว้บริการอยู่แล้ว
แม้จะมีห้องอาบน้ำให้ แต่พวกเราก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะไม่อาบ (หนาวและขี้เกียจตามสไตล์) วันนี้ก็นอนบนรถไฟทั้งเหม็นๆนี่แหละ ซักพักพนักงานโรงแรมเดินมาบอกว่าให้ไปขึ้นรถตอน 17.20 น. แต่ผ่านไปแป๊บเดียวคนขับรถมาตามแล้วบอก Thailand Thailand three three งงๆแต่ก็ตามเค้าไป
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเดินทางไปสถานีรถไฟ Lao Cai ผ่านวิวเทือกเขายามพระอาทิตย์อัสดงงดงามมากมายตรงข้ามกับขามาที่มีหมอกลงหนาแน่น
พอหาอะไรใส่เอาแล้วก็เอา voucher ไปแลกตั๋วรถไฟมาจนสำเร็จก็พร้อมออกเดินทางแล้ว
ได้เวลาขึ้นรถไฟ
เรามาถึง Hanoi ในเวลาตี 4 ครึ่ง แม้จะเลือกขึ้นแท็กซี่จากกลุ่มของแท็กซี่ที่โรงแรมแนะนำว่าไว้ใจได้ แต่คนขับแท็กซี่ก็ปฏิเสธที่จะกดมิเตอร์ ดูเส้นทางแล้วบอกให้เหมาจ่าอย 100,000 VND เขาบอกว่าก่อน 6 โมงเช้า No meter นะครับ เอาวะ เหมาก็เหมา
เราไปฝากกระเป๋าและอาบน้ำที่ office ของ tour manager สภาพห้องน้ำโอเค สะอาดดี แค่ไม่มีโถส้วม อึ๊ไม่ได้ ต้องแบกปล่อยหาที่ปล่อยเอาดาบหน้า
อาบน้ำเสร็จก็ได้เวลาออกไปหาอาหารเช้า เดินไปเดินมาเจอร้านนี้ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ
ร้านน่านั่งทีเดียว
บรรยากาศดี
ด้วยความหิว ฟาดเรียบหมดโต๊ะ
บรรยากาศริมน้ำ ที่เห็นเปียกๆนี่เค้าเพิ่งล้างร้านไปหมาดๆ
พออิ่มก็ออกเดินรอบทะเลสาบต่อ
Highlands Coffee อันโด่งดัง
เดินไปอีกฝั่งของทะเลสาบก็ถึงวัดหง๊อกเซิน หรือ วัดเนินหยก (Ngoc Son Temple)
ถ้าจะเข้าไปต้องเสียเงินเลยอยู่แค่สะพานดีกว่า
คอร์ทแบตกลางเมือง เท่น่าดู
เช้าๆมาเข้าคลับเต้นลีลาศข้างทะเลสาบก็ดีเหมือนกันนะ
ได้เวลาซื้อของฝาก (ตัวเอง) กาแฟอันโด่งดัง
เดินเที่ยวจนหน่ำใจก็ได้เวลากลับไปที่ office ของ tour manager รอรถที่จะไปส่งเราที่สนามบินแถมยังได้เจอตัวจริงของ tour manager ชื่อ Mr.Hung ที่คุยกันผ่านตัวอักษรมาตลอด ช็อคนิดหน่อยที่ Mr.Hung อายุน้อยกว่าฉันเสียอีก เขาบอกว่าเป็นหลานของเจ้าของ Sapa Summit Hotel อันแสนโด่งดังที่ปิดตัวไปแล้ว
เราถึงสนามบินตอนประมาณ 11 โมง เช็คอินกับ VietJet สายการบิน low cost ของเวียดนาม เพิ่งเคยบินกับสายการบินนี้เป็นครั้งแรก ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าจะโอเคมั้ย
ได้ลิ้มลอง Bun Cha เป็นอาหารกลางวันในสนามบิน เสียดายมากที่ไม่ได้กินในตัวเมือง Hanoi ต้องอร่อยกว่านี้สิบเท่าแน่ๆ
กลับมาถึงเมืองไทยโดยสวัสดีภาพครบสามสิบสองประการค่าาา
สรุปค่าใช้จ่ายเผื่อจะเอาเป็นแนวทางอ้างอิง (ราคานี้คือช่วงปีใหม่นะคะ)
จบแล้วค่ะ ทริปไปเวียดนามของพวกเรา ขลุกขลักไปบ้างแต่ก็เป็นทริปที่ดีทีเดียว ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม เจอกันทริปหน้านะคะ