1 Jan
เข้าสู่วันแรกของปี 2016 พวกเราตื่นเช้าสดใส พร้อมไปลุย Halong bay อาบน้ำเสร็จก็รีบลงมาที่ห้องอาหารของโรงแรม จะว่าเป็นห้องอาหารก็ไม่ถูกนัก เพราะทั้งหมดมีอยู่ 4 โต๊ะเล็กๆ จัดวางในพื้นที่ค่อนข้างแคบแต่ก็ดูเรียบง่ายสวยงาม ใช้สอยพื้นที่ได้คุ้มจริงๆ
นั่งปั๊บเมนูลง พลิกๆดูแล้วน้อยๆ ไม่น่ากินเลย ผิดหวังเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่พออาหารมานี่ โอ้ววววววววววว สวรรค์ ทำไมมันใหญ่เบิ้ม น่ากินปานนี้
พอทานอาหารเสร็จก็รีบขึ้นไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องพักและลากกระเป๋าลงมาเช็คเอาท์ เพราะทัวร์บอกว่าจะมารับเรา 8.15 น. แต่สงสัยคนเยอะเลยมาช้า ส่งไลน์ตาม tour manager แล้วก็คุยกับ Martin (hotel manager) ไปพลางๆ ถึงได้รู้ว่าอายุ 25 เท่ากัน แต่งงานแล้วอีกทั้งกำลังจะมีลูก
รออีกไม่นาน tour guide ที่จะพาเราไป Halong bay ก็มาถึง มีการเถียงกันเรื่องกระเป๋าเดินทางเล็กน้อยเพราะ tour manager บอกว่าทัวร์วันนี้จะเลิกดึก ให้เอากระเป๋าเดินทางไปเลยเพราะรถจะไปส่งที่สถานีรถไฟทีเดียว พอมาหน้างาน tour guide และ Martin ยืนยันหนักแน่นว่าให้เอาไว้ที่นี่ ยังไงก็มีเวลากลับมาเอากระเป๋าที่โรงแรมแล้วค่อยเรียกแท็กซี่ไปสถานีรถไฟที่อยู่ไม่ไกลนัก ฉันถามว่าจะกลับมาประมาณกี่โมง tour guide บอกว่า 20.30-20.45 น. ซึ่งเท่ากับว่าฉันจะมีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนรถไฟออกในเวลา 21.40 น.
ถ้าใครเจอสถานการณ์แบบนี้ ยิ่งเป็นช่วงปีใหม่หรือคนเยอะๆ สิ่งเดียวที่ฉันแนะนำได้คือ จงเอากระเป๋าไปด้วย เพราะอะไรนั้น เดี๋ยวจะได้รู้กัน
tour guide ชื่อ Jackie พาเราเดินไปอีก 3 นาทีก็ถึงรถที่จอดรออยู่ พอเห็นรถแล้วต้องร้องอ๋อเบาๆในใจว่าทำไม Jackie ไม่ให้เอากระเป๋ามาด้วยเพราะรถมันเล็กมากจริงๆ แถมคนที่ขึ้นก่อนหน้าเราก็เอากระเป๋าขึ้นมาด้วยอยู่หลายคน
Jackie เปิดตัวด้วยการอธิบายทุกสิ่งเป็นภาษาจีนเพราะนอกจากพวกเราแล้ว ลูกทัวร์ที่เหลือเป็นคนจีนหมด ฉันนั่งตาปริบๆได้สักพักก็ต้องยกมือขอภาคภาษาอังกฤษด้วย Jackie ก็ใจดีแปลให้ หลังจากนั้นน่าจะกลัวฉันเหวี่ยงเพราะ Jackie จะพูดภาษาอังกฤษก่อนภาษาจีนเสมอ (ไม่ได้เหวี่ยงนะคะ แค่หงุดหงิดฟังไม่รู้เรื่อง สีหน้าเลยออกเล็กน้อย)
หงุดหงิดเพิ่มเติมไปอีกที่ Jackie แจ้งว่าเราจะถึง Hanoi อีกทีประมาณ 20.45-21.00 น. เอ้า ไหนเมื่อกี้บอก 20.45 น. แล้วพวกเราจะไปสถานีรถไฟทันไหมเนี่ย
เมื่อรถขับข้ามเหนือแม่น้ำสายหนึ่ง Jackie ก็อธิบายให้ฟังว่าเพราะมันเป็นสีแดงคนถึงเรียกว่า Red river แล้วเล่าต่อถึงที่มาของชื่อเมือง Ha แปลว่า แม่น้ำ ส่วน Noi แปลว่าอยู่ใน Hanoi เลยแปลว่าเมืองที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ Red river ยังเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในเวียดนามเหนือ ในขณะที่แม่น้ำแม่โขงยาวที่สุดในเวียดนามใต้นั่นเอง
พวกเราใช้เวลาเดินรถทั้งหมดเกือบ 4 ชั่วโมง คือตั้งแต่ 9.00 – 12.45 จอดแวะระหว่างทางให้เข้าห้องน้ำและซึ้อของที่ศูนย์ศิลปะหัตถกรรมของคนพิการ ไม่มีใครซื้ออื่นๆนอกจากบางคนที่ทนหิวไม่ไหวก็ต้องยอมซื้อขนมที่แพงหูฉี่ ดีที่พวกเราเตรียมขนมปังมาจากประเทศไทย ขอแนะนำว่าติดไว้หน่อยก็ดี ช่วงจังหวะหิวๆนี่มีเยอะนัก
ถามว่าไม่ชอบอะไรที่สุดในทริปนี้ คำตอบอาจจะเป็นการขับรถของคนเวียดนามทั้งรถใหญ่และมอเตอร์ไซค์ รถที่เรานั่งมาวันนี้แม้จะไม่ใช่ที่สุดของทริปนี้ แต่ก็ทำวีรกรรมไปเฉี่ยวคันอื่น แซงขวาแซงซ้าย ปาดหน้าชาวบ้านจนโดนตำรวจจับ ถนนก็ยังทำไม่เสร็จ ประกอบกับพวกเรานั่งหลังสุดของรถ ทำให้เป็น 4 ชั่วโมงที่ทุกข์ทรมานจริงๆ
ในที่สุดก็มาถึงท่าเรือ (อยากจะตะโกนว่า เย้! แรงๆ) เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นท่าเรือที่เพิ่งเปิดใหม่วันที่พวกเราไปพอดี
รออยู่ประมาณ 20 นาที ก็ได้ตั๋วมาพร้อมขึ้นเรือ ในเรือก็จะมีโต๊ะอาหารอยู่ประมาณ 6 โต๊ะให้เลือกนั่งได้ตามใจ พวกเรา 3 คนแม่ลูกครอบครอง 1 โต๊ะเต็มๆ ช่างดีเสียนี่กระไร
นั่งได้ไม่นาน เรือก็ออก พากันมุ่งสู่เกาะเล็กเกาะน้อยที่เห็นรางๆผ่านม่านหมอก
ไม่นานอาหารก็ถูกทยอยเสิร์ฟ ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆแล้ว มาดูหน้าตาอาหารกันว่าจะสมกับที่อดทนรอด้วยความหิวโหยสุดชีวิตหรือไม่
เมื่อท้องอิ่ม หลายคนก็กระโจนขึ้นชั้น 2 ของเรือเพื่อไปชมทิวทัศน์ที่สวยงามของ Halong bay แต่เพื่อความปลอดภัย tour guide จะคอยกำกับไม่ให้นักท่องเที่ยวออกไปบริเวณหน้าเรือหรือชั้น 2 หากว่าเรือจอดชิดเกาะ
เรือที่พาเรามาจะเป็นลักษณะแบบนี้
อาหารที่ทานเมื่อกี้ ก็ทำกันหลังเรือนี่แหละ
อย่าถามว่าตากผ้าตรงไหน
ถึงจะไม่ใช่ฤดูกาลที่สวยที่สุด แต่ Halong bay ก็ยังมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง
หนึ่งในกิจกรรมทัวร์ Halong bay คือ การพายเรือคายัค หรือ นั่งเรือไม้ไผ่(ให้คนอื่นพายให้) ฉันเลือกนั่งเรือไม้ไผ่เพราะแม่คงพายเรือคายัคไม่ไหว เวลาซื้อทัวร์อย่าลืมตรวจสอบดูด้วยว่าแถมกิจกรรมนี้ด้วยหรือไม่ ทัวร์ที่ฉันซื้อมาประมาณคนละ 35 USD (1,300 THB) จริงๆแล้วรวมค่าพายเรือไว้อยู่แล้ว แต่ Jackie ดันบอกว่ายังไม่ได้จองไว้ ตอนนั้นฉุกละหุกด้วยเลยจ่ายหน้างานไปก่อนคนละ 130,000 VND (200 THB) แต่พอทวงไป tour manager ก็คืนเงินให้ในภายหลัง ค่อนข้างประทับใจกับความซื่อสัตย์พอสมควร
ได้เวลาออกเรือแล้ว เลทสะโกกกกกกกกก
ไม่ว่าจะเป็นการพายเรือคายัคหรือนั่งเรือไม้ไผ่ ทุกคนจะมีจุดหมายเดียวกันคือ การไปถ้ำลอด นั่นเอง
และแล้ว
อีกฝากฝั่งหนึ่งมีอะไรน้า
ที่นี่มีบริการถ่ายรูปพร้อมอัดฟรีอีกต่างหาก อยู่ในเรือเล็กๆมีเครื่องมือพร้อมเสร็จสรรพ เจ้าเด็กผู้ชายตัวเล็กก็เรียกแขกช่วยพ่ออย่างขยันขันแข็ง
ดูใบพายซะก่อน เล็กเรียวไม่เหมือนใบพายแถวบ้านเรา สงสัยเหมือนกันว่าขับเคลื่อนเรือลำเบิ้มกับคนอีก 6 ชีวิตได้ยังไง
บริเวณนี้มีถ้ำลอดทั้งหมด 2 ถ้ำ ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 45 นาทีในการพายไปชม ดูสีหน้าซะก่อนว่าลูกทัวร์เอนจอยไหม
พายเรือกันเสร็จก็ขึ้นเรือต่อ ยังนั่งพักไม่ทันไร Jackie ก็มาเรียกไปดูสัญลักษณ์ของ Halong bay แหม เห็นหน้าแม่ยังเหนื่อยอยู่เลย แต่ก็นะ ไหนๆก็มาแล้ว เลยคะยั้นคะยอแม่ออกไปยืนหน้าเรือ
มันก็คือ Fighting Cock นั่นเอง คนคงจินตนาการไปว่าไก่ตัวผู้กำลังสู้กันอยู่กระมัง
ถาม Jackie ต่อว่า Halong แปลว่าอะไร ด้วยความรู้อันแน่นปึ๊กของไกด์ Jackie ตอบฉะฉานว่า Descending dragon หรือมังกรที่ร่อนลงมา เพราะมีตำนานกล่าวขานกันว่ามีครอบครัวมังกรมาช่วยเวียดนามทำสงคราม พอชนะแล้วก็ปักหลักอยู่ที่อ่าวแห่งนี้อีกระยะหนึ่ง เลยเป็นที่มาของชื่อ Halong bay นั่นเอง
กำลังฟัง Jackie เพลินๆ ก็ได้ยินเสียงดังโครมใหญ่มาพร้อมๆกับเสียงกรี๊ดไม่เบานัก หันไปดูปรากฏว่าโต๊ะที่เรานั่งอยู่เมื่อครู่เป็นแบบนี้ซะแล้ว
ได้ความว่ามีเรืออีกลำหันหัวมาชน สภาพเลยกลายเป็นแบบนี้ ตรงที่หน้าต่างพังลงมา เป็นที่ที่แม่นั่งพอดีแล้วน้องนั่งข้างๆ มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าลุกไม่ทัน แล้วเป็นครั้งแรกที่แม่ลุกไปที่อื่นขณะเดินเรือ โชคดีจริงๆ
คุณแม่หลอนเลยหนีมาหลบอยู่ใต้บันได
Jackie ไม่ปล่อยให้ขวัญเสียนาน ซักพักก็มาถึงสถานที่ที่เราจะทำกิจกรรมที่ 2 นั่นคือการเดินขึ้นไปสำรวจถ้ำที่มีหินงอกหินย้อย เพราะทางขึ้นกับทางลงอยู่คนละฟากของเกาะ ใครขึ้นไม่ไหวก็ต้องข้ามไปอีกด้านกับเรือ หญิงชรา เอ้ย หญิงงามคนนี้ ยุตั้งนานกว่าจะยอมขึ้น ทั้งๆที่ซ้อมเดินอยู่ที่บ้านทุกวัน
Jackie ขู่ไว้เยอะว่าขึ้นลง 600 กว่าขึ้น โอ้ย ชิวมาก ไปโลด
ข้างในเป็นแบบนี้เลย
เรือจอดรอพวกเราอยู่
17.00 น. ได้เวลาจากลา Halong bay กันแล้ว เริ่มขยุกขยิก กลัวขึ้นรถไฟไม่ทัน เลยโทรไปที่โรงแรมหา Martin ขอร้องให้ช่วยเตรียมเรียกแท็กซี่และทำแซนวิซไว้ให้หน่อย เดี๋ยวจ่ายเงินให้
กำวลไปก็เท่านั้น หันมาดูวิวดีกว่า ลำนี้หรือเปล่าที่ชนเรา
พระอาทิตย์กำลังตก
รอดมาครบสามแม่ลูกค่า
กว่าเรือจะถึงท่า 17.30 น. กว่ารถจะมารับเราจากท่าเรือ 18.00 น. สอบถาม Google Maps ได้ความว่าน่าจะถึง Hanoi เวลา 21.00 น. พอดิบพอดี ภาวนาอย่างเดียวว่าจะถึงเร็วกว่ากำหนดซักเล็กน้อย ย้ำกับ Jackie หลายครั้ง Jackie ก็รับปากเป็นแม่นมั่นว่ายังไงก็ทัน เลยวางใจได้เปลาะหนึ่ง
รถพาแวะพักระหว่างทาง Jackie บอก 10 นาทีเจอกัน คณะลูกทัวร์ต่างก็รีบเข้าห้องน้ำซื้อน้ำแล้วออกมารวม ณ จุดนัดพบ ไม่เห็นรถมาจอดรอซักคน กลายเป็นต้องมารอคนขับรถกินข้าวเข้าห้องน้ำรวมครึ่งชั่วโมง กว่าจะออกอีกที 19.30 น. ก็ถามอากู๋อีกครั้งได้ความว่าไปถึง Hanoi มี 21.15 น. แน่นอน
ตอนนั้นเริ่มนั่งไม่ติดทั้งพวกเรา ทั้ง Jackie ฉัน Line ไปหา tour manager ซึ่งก็โทรมากดดัน Jackie ทันที รถเริ่มขับหวาดเสียว แซงซ้ายแซงขวา ปาดหน้าสิบล้อ (ปาดเหงื่อเล็กน้อย ภาพไฟสิบล้อยังติดตา) Jackie โทรไปติดต่อให้ทางโรงแรมยกกระเป๋าไปที่สถานีรถไฟ แต่ทั้งโรงแรมมีคนอยู่ 4 คนรวมพ่อครัวแล้ว (คนเวียดนามทำได้ทุกอย่าง จ้างคนหนึ่งเหมือน 10 คน) จะให้เอากระเป๋าไปส่งแล้วไปรอที่สถานีรถไฟก็ไม่ได้ สรุปว่าทางโรงแรมก็ยกกระเป๋ามาให้ตรงจุดที่รถจะปล่อยเราลง แล้วเราก็เรียกแท็กซี่ไปต่อได้เลย
รถมาถึงตัวเมือง Hanoi เวลา 21.10 น. (ทั้งซิ่ง ทั้งดริฟแล้วได้แค่นี้) เนื่องจากเป็นวันขึ้นปีใหม่ ผู้คนออกมาเฮฮาปาร์ตี้เยอะทำให้รถติดเลยไม่สามารถไปส่งเราที่จุดนัดพบได้ เอาล่ะสิ มีเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงในการหาทางไปยังจุดนัดพบแล้วแบกกระเป๋าจากจุดนัดพบขึ้นแท็กซี่ฝ่ารถติดเยี่ยงสี่แยกนราธิวาสไปสถานีรถไฟ
Jackie วิ่งสะละวนหามอเตอร์ไซค์รับจ้างได้ 1 คัน แต่เรามีกัน 4 คน (รวม Jackie) ยังไงก็ต้องหาเพิ่มอีกคัน ฉันมองฝูงรถยนต์ มองหน้าแม่ แล้วมองนาฬิกาอีกรอบ ใกล้จะ 21.15 น. ความหวังจะได้เห็นเมืองในสายหมอกเริ่มริบหรี่ ขณะที่กำลังถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียดายเงินอีกหมื่นกว่าบาทที่จองทุกอย่างไปแล้ว มอเตอร์ไซค์อีกคันก็มา
พวกเราจะได้ไปเยือน Sapa ไหม อย่าลืมติดตามต่อในตอนหน้านะคะ