ได้เวลาโชว์ของ
ตารางเที่ยววันนี้ค่า
16 Feb 2015
วันนี้มีนัดไปขึ้นบอลลูน คือแบบตื่นเต้นมากกกกกก นาฬิกาปลุกนี่เด้งออกจากที่นอนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย วันนี้มีการอัพเกรดเรื่องเสื้อผ้า คือเอามาเท่าไหร่แม่ใส่หมด ประมาณ 5 ชั้นถ้วน เดินเป็นหมีเลย
5:20 บริษัทบอลลูนส่งรถมารับ ไปรอประจำการที่ฐานทัพบอลลูน
มาถึงไปแจ้งชื่อรับ Boarding Pass ก่อนเลย เท่โพด
มาพร้อมกับแผ่นพับเตรียมความพร้อมการบิน ระบุชื่อกัปตัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ย้ำว่า สำคัญมาก จำไว้ให้ดี แต่หนูอ่านไม่อออกอ่ะ
โทษฐานที่ต้องตื่นมาแต่เช้า จัดขนมมาประเคนเพ่ซะดีๆ
เนื่องจากถูกปล่อยให้รออยู่กับขนมและชาร้อนๆ เลยซัดแหลก จากที่กลัวจะไม่ถ่ายแล้วไปตดบนบอลลูน กลายเป็นเข้าห้องน้ำไปขรี้จนหมดไส้หมดพุง ใกล้จะถึงเวลาขึ้น เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาประกาศว่ากรมการบิน (เพื่อบอลลูนโดยเฉพาะ) ยังไม่ปล่อยสัญญาณธงเขียวให้บอลลูนขึ้นได้ ต้องรอต่อไป ตอนนั้นคุณสำลีเริ่มเปรย เดี๋ยวต้องมา cancel แน่ๆ ปากหรอน้านนนนนนนนน
นึกดีใจที่ตัวเองมี skills ภาษาอังกฤษระดับนึง เพราะคนเกาหลี ญี่ปุ่นนี่ลำบากมาก เจ้าหน้าที่ต้องถามหาคนที่พูดอังกฤษได้ในกลุ่มนักท่องเที่ยวมาแปลให้ คนที่มีไกด์ส่วนตัวก็รอดไป เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่ามาก
ในที่สุดก็ cancel โอยปวดใจ แต่เพราะกลัวเกิดปัญหานี้ พวกเราเลยจองมาพักที่ Cappadocia 3 คืน มันต้องมีซักเช้าที่ขึ้นได้สิฟร๊ะ อะไรกัน เมื่อคืนยังฟ้าใสไร้กังวล จากนั้นบริษัทบอลลูนกันจัดการส่งพวกเรากลับโรงแรม เท่ากับตื่นเช้ามากินของเค้าฟรีสินะ เป็นบริษัทบอลลูนก็ต้องรับความเสี่ยงเรื่องอากาศเหมือนกันนิ
อาหารเช้ายังไม่พร้อม เลยออกไปเดินเล่นในเมือง
ที่สิบสองนาฬิกา เจอสัตว์ประหลาดตัวมหึมา พยายามเดินเลี่ยงๆแล้วนะ แต่มันตรงมาเลย
จู่โจม!!! เห็นกันชัดๆว่าตัวใหญ่ขนาดไหน เทียบกับฉันที่สูงประมาณ 170 ซม.
นี่แหละที่เค้าเรียกว่า ถ้ำ อย่างแท้จริง
เดินไปเรื่อยๆ detect สัตว์ประหลาดตัวที่สองได้
โอ๊ะ พวกมนุษย์ จะทำอะไรข้า
วนกลับไปโรงแรม หิมะเริ่มตกปรอยๆ นี่สินะ สาเหตุที่บอลลูนขึ้นไม่ได้ แต่ถึงขึ้นได้ ฟ้าก็เน่าจนถึงขีดสุดอยู่ดี
เสียดายไปก็เท่านั้น ฟ้าฝนจะบังคับกะเกณฑ์อะไรได้ จริงๆดูพยากรณ์อากาศมาก่อนไม่มี % ของหิมะตกเลยด้วยซ้ำ งงกะฟ้าท่านเหมือนกัน
กินดีกว่า (ได้ข่าวว่าเพิ่งกินไป) ไลน์อาหารที่นี่ หรูเลิศอลังการงานสร้าง
เหล่าขนมปัง
คอนเฟล็กที่อร่อยที่สุดในตุรกี (โรงแรมอื่นเหมือนคอนเฟล็กปลอม)
ผลไม้สด-แห้ง
สิ่งที่อร่อยที่สุดในจักรวาลนี้แล้ว ซัดไป 7 ลูก
ดูบรรยากาศห้องอาหารบ้าง
โต๊ะข้างหน้าต่างมีคนจองแย้ว ฮือออ
กินอย่างมีความสุขไปไหนซักพักหันออกไปมองข้างนอก เฮ้ย กรี๊ด ไม่เคยเจอหิมะตกแบบนี้
คุณสำลีทิ้งช้อนส้อมออกไปผจญโลกกว้างทันที
วันนี้จองทัวร์แบบ one day เอาไว้ ที่นี่จะมีหลักๆคือ Red Tour (North Cappadocia) กับ Green Tour (South Cappadocia) จริงๆก็อยากไปผจญภัยเอง แต่เนื่องจากมีเวลาจำกัด สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่อยู่ห่างกันพอสมควร เดินทางไม่ค่อยสะดวกนัก เลยตัดสินใจจอง Green Tour กับโรงแรมไว้ ราคาต่อคน 40 EUR แต่โรงแรมลดให้เหลือ 35 EUR (1,300 THB)
ระหว่างรอบริษัททัวร์มารับ พวกฝรั่ง เกาหลี ญี่ปุ่นก็ไปหลบนั่งรออยู่ในโรงแรมอุ่น แต่ยังมีต่างด้าวที่บ้านไม่มีหิมะ บ้าบอถ่ายรูปกันอยู่ 2 คน
หนาวมาก แต่ฟินมากเช่นกัน
9:30 บริษัททัวร์ก็ส่งรถมารับไปเจอเพื่อนๆร่วมแก๊งค์ในวันนี้
พามาเปลี่ยนรถใหญ่เรียบร้อย ทัวร์เราชื่อ Hiro Tour ชื่อซะเอเชียขนาดนี้ แน่นอนว่าทั้งคันมีแต่เกาหลี ญี่ปุ่น 2 และพวกเราไทยแลนด์อีก 2 ภูมิใจมาก เก่งภาษาอังกฤษที่สุดในรถเลย
นั่งรถเค้าจัดไกด์จัดรถกันจนถึง 10.30 (คือนานมาก ไม่รู้ทำอะไรกันอยู่) ก็ได้เวลาออกรถ หิมะตกไม่ขาดสายเลย
ที่แรก Goreme Paranoma สาวเกาหลีที่ชินกับหิมะรีบหยิบร่มมากาง พวกเราหรือ แทบจะอ้าปากงับหิมะเล่นอยู่แล้ว ร่มก็เอามาแต่จงใจลืมไว้ในรถ อิอิ
ส่วนคุณสำลี แม้อาการเจ็บขาจะดีขึ้นมาก แต่ก็ยังคงยังไม่ปกติอยู่ พอเห็นหิมะเยอะขนาดนี้ นางก็เดินกระเผลกๆถ่ายรูปแชะๆด้วยความเบิกบาน ไม่รู้จะสงสารหรือหมั่นไส้
สุดติ่งและ เห็นได้แค่นี้แหละ Paranoma ตรู T^T
มีต้น Evil eye ที่เห็นบ่อยๆในรีวิว แต่พออยู่กลางหิมะแบบนี้แล้วสวยมาก
เอาไปอีกรูป
ลูกทัวร์แต่ละคนถ่ายรูปทำเวลากันใหญ่
รื่นเริงกันอยู่ได้ประมาณ 15 นาที ไกด์ก็เรียกไปต่อ
นั่งรถไปได้ 5 นาที หิมะที่เกาะตัวยังไม่ทันละลาย ก็มาถึงที่ที่ 2 นั่นก็คือ Pigeon Valley นั่นเอง
อากาศตอนนั้น หิมะกระหน่ำมาก
เชิญชมกันชัดๆ Pigeon Valley
ไร้คำบรรยาย (เพราะมองไม่เห็นอะไรเลย)
ชื่นชมคนเป็นไกด์จริงๆ ในสถานการณ์คับขัน ที่ลูกทัวร์เดินลงจากรถด้วยความคาดหวัง แต่ต้องมาตกตะลึงกับสภาพอากาศที่ไม่สามารถควบคุมได้ นางเลย…ชวนลูกทัวร์ เล่นปาหิมะ -O-
ลูกทัวร์ไม่ยอมแพ้ อารมณ์ตอนนั้นประมาณตายกันไปข้างหนึ่ง
เด็กน้อยสำลีผู้ได้มาเห็นหิมะเป็นครั้งแรก ยืนสำรวจอย่างสนใจ ไม่เคยเล่นมาก่อน ที่บ้านไม่มี
หันไปอีกที มันเอาล่ะ
เห้ย
แกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หลังจากนั้นแทบร้าวฉาน 555 ไกด์ต้องเรียกขึ้นรถก่อนแตกหัก
ก่อนจาก ขออีก 1 รูป ม้านั่งของเทศบาลอุชิซาร์
นั่งรถอีกประมาณ 30 นาที ก็ถึงที่ที่ 3 Derinkuyu Underground City
ไกด์เอาบัตรมาแจก (ค่าบัตรรวมอยู่ในค่าทัวร์) แต่ถ้าใครจะไปเอง ที่นี่ค่าเข้าอยู่ที่ 20 TL เปิดทำการ 08.00-16.15 และยังมี museum pass ขายสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวใน cappodocia (เอาบัตรที่ Istanbul มาใช้ไม่ได้นะ เมืองใครเมืองมัน)
พอเข้าไปได้ ไกด์พาไปล้อมอันนี้เลย แล้วถามว่าอะไร แต่ละคนก็เดากันไป ฉันเลยได้ทีโชว์เทพ ตอบเลยว่า ช่องระบายอากาศและลิฟต์ (Ventilation System & Elevator) เล่นกันอึ้งไปเลยทั้งทัวร์ว่าทำไมเก่งงี้ อุวะฮะฮ่า ตรูอ่านรีวิวมาล่วงหน้าแล้วเฟร้ย กระจอกมาก
และแล้วก็ได้เวลาลงไปสำรวจถ้ำ อย่าลืมเอาไฟฉายไปด้วย แล้วท่านจะกลายเป็นฮีโร่ของกลุ่มเลย
หินที่นี่ มีคุณสมบัติพิเศษคือ ง่ายต่อการขุดเจาะเป็นโพรง (แล้วม้นจะมีโอกาสถล่มลงมาไหม) ดังนั้นเลยมีคนขุดดินลงไปทำเป็นเมืองซะเลย ว่ากันว่าเมืองใต้ตินมีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ พอถึงสมัยที่ศาสนาคริสต์ได้เข้ามาเผยแพร่ในบริเวณนี้ ทำให้ผู้คนที่นับถือเทพเจ้าอยู่ไม่พอใจ ชาวคริสต์เลยต้องหลบหนีมาอาศัยอยู่ใต้ดินนั่นเอง
ลงไปชั้นแรก ห้องแรกที่เจอคือ ห้องอาหาร (kitchen) จุดสังเกตคือจะรูคล้ายท่อระบายน้ำกลางห้อง ข้างในมีไหสำหรับทำอาหาร
ผนังจะดำๆเนื่องจากควันจากการทำอาหาร
ห้องเก็บอาหาร (food storage) ไว้เก็บไวน์เพราะที่นี่ปลูกองุ่นได้ดี
ประตูหิน (stone door) เป็นประตูกลมๆ มีรูอยู่ตรงกลาง เวลาข้าศึกบุกก็จะเข้าไปแอบกันข้างใน แล้วส่องดูว่าใครมายุ่มยามตรงประตูผ่านรูตรงกลาง ถ้าเป็นข้าศึกก็จะใช้หอกแทงออกมาเลย โหดมาก
อันนี้เป็นอุโมงค์เชื่อมกับเมืองโบราณอื่นๆ เจ๋งแท้ แต่หลังคงหักก่อนเดินถึงอีกเมือง
ตัวอย่างทางข้างใน แคบเล็กและต้องก้มอยู่ตลอดเวลา มีทั้งลงและขึ้น ใครที่รู้ตัวว่าสุขภาพไม่ดีไม่ควรลงนะคะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาช่วยเหลือลำบากและจะไม่ทันการเอา
ปล่องที่ใช้ดูว่าอากาศวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เข้าไปได้ทีละ 7 คนเท่านั้น
รูนี้ เอาไว้ตะโกนคุยกับคนอื่นที่อยู่ห่างออกไป เหมือนโทรศัพท์
ต่อมา ไกด์พาเรานั่งรถอีก 45 นาทีไป Selime Church ว่ากันว่าไปฉากที่ภาพยนตร์ลือชื่อยกกองมาถ่ายทำกันที่นี่ เรื่อง Star Wars นั่นเอง
อากาศเริ่มดี แดดออก หิมะเริ่มละลายกลายเป็นน้ำ
ปีนตามไกด์กันไป
ไกด์อธิบายว่า ที่นี่ในสมัยก่อนคือศูนย์กลางที่ผู้นำศานาคริสต์จะมารวมตัวกันเพื่อหารือทุกปี คล้ายกับกรุงวาติกันในปัจจุบัน พอถึงสมัยอะตาเติร์กขึ้นเป็นผู้นำ มีการเปลี่ยนถ่ายประชากรตามศาสนาของตัวเอง อิสลามอพยพเข้า ส่วนคริสต์และศาสนาอื่นๆอพยพออก ตอนนี้ประชากรอิสลามมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 70% ของประชากรทั้งหมด เป็นแบบนี้เรื่อยมาทุก generation
ยืนฟังไกด์กันอย่างตั้งใจ
อธิบายจบ ไกด์ก็ปล่อยให้เที่ยวชมกันตามอัธยาศัย ปีนป่ายกันตามสบาย
รายนี้สู้ชีวิตมาก กระเผลกไต่ภูเขา โอย เจ็บแต่อยากเที่ยว
ได้เวลากินข้าวแล้ว ไกด์พาไปกินที่ร้านอาหาร ไปถึงนั่งปุ๊บสลัดเสิร์ฟปั๊บ
น้ำส้มตามมาติดๆ ตอนแรกนึกว่าจะมาเป็นแบบคั้นสด เพราะราคาแพงพอสมควร 4 TL เป็นกระป๋องมาเลยค่า เสียจุย
ค่าอาหารรวมอยู่ในทัวร์แล้ว แต่น้ำต้องจ่ายเพิ่มเน้อ
ของฉันจานปลา สดใช่ได้เลย
ของคุณสำลีจานเนื้อ meat ball อร่อยมาก (แสดงว่าขโมยกินเค้ามาละสิ 555)
ตบท้ายงามๆด้วยส้มสด
หลังกินข้าวเสร็จ ระหว่างรอคุณสำลีเข้าห้องน้ำได้มีโอกาสคุยกับไกด์เกี่ยวการทำทัวร์ ไกด์บอกว่าชีวิตจะขึ้นอยู่กับคนขับรถและลูกทัวร์ ถ้าดีก็ดีไป แต่แย่ชีวิตก็บัดซบ นางยังบอกต่ออีกว่า จากที่เจอมาทั้งหมด นางว่าคนอินโดนีเซียจัดการยากสุด เพราะชอบสาย เฮ้อ โล่งใจที่ไม่ใช่ชาติเรา
แต่จริงๆคนขับรถทริปนี้ขับเร็วมาก ทั้งๆที่ถนนเต็มไปด้วยหิมะ (หรือพวกเค้าขับกันเป็นปกติแบบนี้อยู่แล้ว) ขึ้นรถนี่คาดเข็มขัดก่อนเลย จะหลับหรือจะนั่งคุยค่อยว่ากัน
ในที่สุดก็มาถึงที่ที่ 5 Ihara Valley
หิมะหยุดแต่ฝนตก แย่กว่าเดิมอีก
เนื่องจากสภาพอากาศไม่ดี จากที่จะเดินประมาณ 4 กิโล จะลดเหลือ 2 เท่านั้น ระหว่างทางจะเจอโบสถ์ โบสถ์ และโบส์ถ ไกด์บอกมาที่นี่ต้องทำใจ เพราะจะเจอแต่โบสถ์ 555 ว่าแล้วก็เริ่มเดินกันได้ ดีนะ เดินลงอย่างเดียวไม่มีขึ้นเลย
จุดแรก
วิวระหว่างทางสวยมาก
เดินไปเรื่อยๆ จากฝนเป็นหิมะเป็นฝนเป็นลูกเห็บ งงกะชีวิตจริงๆ
มีให้นั่งพักกลางทางนิดนึง แล้วก็เดินต่อ
ที่เห็นหน้าผาตรงนั้น มีคนไปขุดเจาะอาศัยอยู่ตรึม
ภูมิประเทศแปลกตาดี
ที่ที่ 6 Art Gallery พามาเสียตังค์นั่นเอง จริงๆไม่มีในตารางเที่ยวที่ส่งมาให้ แต่สงสัยเพราะอากาศไม่ดีเลยทำให้ล่าช้าและไปที่อื่นไม่ทัน ก็ได้ เข้าไปดูก็ได้ แง ไม่อาว หนูจะเอาธรรมชาติ
เครื่องประดับแสนสวย แต่ราคาไม่น่าคบเลย
พยายามหลบออกไปถ่ายวิว แต่โดนต้อนกลับเข้ามาใหม่ แอบเซ็ง ออกมาอีกที twilight ตรูไปหมดแระ
จบทัวร์แต่เพียงเท่านี้
หลังจากนี้เรามี dinner หรูใต้แสงเทียนกันต่อที่โรงแรม เนื่องจากตอนแรกกะว่าจะไปดูระบำหน้าท้องกัน แต่เจ้าของโรงแรมบอกว่าอย่าเลย มันไม่ได้ดีอย่างที่ดี เลยเอาเงินมากินหรูซะเลย อวดนักว่าเป็นร้านอาหารลือชื่อเลยต้องจัดซะหน่อย
เมนู นั่งงมกันอยู่นาน
ออเดิร์ฟมา เป็นขนมปังมีชีสผสมถั่วและน้ำมันมะกอกให้จิ้มกิน อร่อยมากกินซะจนเกือบอิ่ม
Appetizer เนื้อชุปแป้งผสม Walnut ทอด 15 TL
จานไก้ Tavuk Sis 28 TL
จานเนื้อ Sultan Kebab 45 TL
ค่าเสียหาย 88 TL แต่เหลือ 80 เพราะได้ส่วนลดมา 10% เนื่องจากเป็นแขกของโรงแรม
สรุปคือ ไม่ได้อร่อยอย่างที่คิด (หรือเราไม่ถูกปากกับอาหารชั้นสูงหว่า) สั่งมาเยอะไปกินไม่หมดอีกต่างหาก รู้สึกเสียดายเงินดี 555
ยังจบวันไม่ได้ถ้าไม่ได้ออกไปตามหาเบียร์ที่ supermarket ใกล้ Otogar
Efes ขวดนี้ 5.5 TL
คุณสำลีงอแงอยากจะลอง Turborg ด้วย เลยหยวนๆให้ซื้อมาชิม กระป๋องนี้ 5 TL
นอนหลับด้วยความสบายใจ พรุ่งนี้อดขึ้นบอลลูนเหมือนเดิมเพราะสภาพอากาศยังไม่ดีขึ้น (ร้องไห้แพพ) แต่พวกเราจะไปขับรถเที่ยวกันเอง จะตื่นเต้นเร้าใจแค่ไหน อย่าลืมติดตามต่อตอนหน้าจ้าาา