เอาไฮไลท์ประจำวันมาให้ชมกันก่อนเลย อิอิ
หลังจากเตรียมตัวกันมายาวนานถึง 2 post เต็มๆ ก็ได้เวลาออกเดินทางซักที มาดูเส้นทางของวันนี้คราวๆก่อนเด้อ
12 Feb 2015
เที่ยวบินของฉันจากสนามบินชางฮีออกบินในเวลา 01:45 SG time ใช้เวลาบินทั้งสิ้น 7 ชั่วโมง 55 นาที (อ๊ากกก ยาวนานมาก) ส่วนของคุณสำลีออกบินจากสนามบินสุวรรณภูมิในเวลา 02:00 TH time ใช้เวลาบินทั้งสิ้น 7 ชั่วโมง 15 นาที แต่จะไปถึงสนามบินฮาหมัดพร้อมกันในเวลา 4:55 Doha Time
ตามกฎการบินออกนอกประเทศ เราควรไปถึงสนามบินก่อนเวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง นั่นคือประมาณเที่ยงคืนก็ควรถึงสนามบินแล้ว เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน อาจจะมีคนใช้สนามบินเยอะ พวกเราเลยจัดการเช็คอินและปริ๊นท์ Boarding Pass กันเรียบร้อย
เช็คของ ตระเตรียมสถานที่นัดพบ ณ สนามบินฮาหมัด ก่อนออกเดินทาง ผ่าน Skype
ลูกๆ (ที่กินอิ่มหน่ำอ้วนพลี) พร้อม!
แล้วก็ลุยกันเลย เราจะไปสนามบินด้วย MRT กัน เพราะที่สิงคโปร์ขืนไปแท็กซี่ในยามวิกาลแบบนี่คงมีใครล้มละลายไปข้างหนึ่ง
มาถึงสนามบินชางฮีแล้ว ดูข้อมูลเที่ยวบินก่อนเลยว่าอยู่ Terminal ไหน
เข้าใจว่าเที่ยงคืนแล้ว แต่ร้างไปไหมอ่ะ
ถึงเคาน์เตอร์เช็คอิน เปิดอยู่ประมาณ 6 ช่อง แต่คนแทบไม่มี ไม่รู้ว่าจะทำ Web Check-In มาเพื่ออะไร =..=
แต่ถ้าคนเยอะๆ การทำ Web Check-In มาจะมีประโยชน์มาก เพราะมีช่องพิเศษให้เช็คกระเป๋าได้เลย
มีที่ชั่งน้ำหนักของ Hand luggage ให้ด้วย เผื่อไม่แน่ใจว่าจะเกิน 7 กิโลกรัมที่สายการบินมีโควต้าให้ไหม ก็ลองชั่งได้ (First Class ได้ 15 กิโลกรัมนะจ๊ะ)
โควต้าของ Check-in luggage มีให้คนละ 30 กิโลกรัม ของฉันเรียกได้ว่าไม่คุ้มเอาซะเลย
เจ้าหน้าที่เช็คอิน พอเห็นว่าเป็น Passport ไทย และเดินทางคนเดียวก็ชวนคุยเสียยาว ว่าเคยไปฝึกทหารอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ชอบอาหารไทย โอย ไม่จบไม่สิ้น ซ้ำยังชวนเจ้าหน้าที่ข้างๆให้มาร่วมวงคุยกันอีก สงสัยว่าว่างจัดเพราะไม่ค่อยมีผู้โดยสารมาเช็คอินมั้ง กว่าจะออกมาได้ใช้เวลา(คุย)ร่วม 10 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ตั๋วมาครอบครอง อุวะฮ่าฮ่าฮ่า
ตั๋วจะมี 2 ใบ คือจาก SIN-DOH และจาก DOH-IST โดยที่จะมีซองสีเหลืองให้ แสดงว่าเป็นผู้โดยสารแบบทรานซิสนั่นเอง
สมกับที่เป็นสนามบินอันดับหนึ่งของโลก คือว่า Efficient มากกกกกกกกกก เวลาที่ใช้ทั้งหมด (ไม่นับถูกชวนคุย) ในการเช็คอิน เช็คกระเป๋า ผ่าน ต.ม. มาเดินอยู่ในบริเวณเกทที่ไม่ถึง 10 นาที แล้วใครบอกให้ฉันมาก่อนล่วงหน้า 2 ชั่วโมงมิทราบ! อีก 1 ชั่วโมง 50 นาทีจะให้ฉันไปอยู่หน๋ายยยย
เดินไปซักพักก็เจอที่สิงสถิตย์ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า คำโฆษณาดูซาดิสต์มาก Experience Pain with Pleasure ประมาณ “เอาแส้มาฟาดฉันซิ” (คือแกดู Fifty Shade of Grey มากไปใช่ไหม)
ระหว่างรอก็เป่าลมหมอนรองคอรองหลังไปด้วย กะหลับยาวๆ
รอไป 1 ชั่วโมง เกทก็เปิดให้เข้า ที่นี่จะต่างจากบ้านเราตรงที่ว่า เค้าจะตรวจตัวกับ Hand luggage กันหน้าเกท จะได้ไม่ไปเป็น bottle neck กันตรง ต.ม. แล้วให้พนักงานเห็นว่าผู้โดยสารมาแล้วแต่ติดอยู่ตรงที่ตรวจค้น (ก่อนหน้าที่คือมาต่อแล้วเจ้าหน้าที่บอกเที่ยวบินนี้ยังเข้าไม่ได้ มาเร็วเกินไป เลยต้องไปนั่งนวด)
คิวยาวพอสมควร แต่เห็นแบบนี้แป๊บเดียวจริงๆ
ฉันชอบเธอก็ตรงนี้แหละชางฮี มีที่ชารต์มือถือบริการแทบทุกจุด รวมถึง Wi-fi ฟรีบริเวณเกท สบายแฮ
เอาคะแนนเต็มไปเลยสำหรับ Changi Airport ไม่รู้จะหักอะไรแล้ว
ระหว่างรอขึ้นเครื่อง ขอไปติดตามสถานการณ์คุณสำลีทางสนามบินสุวรรณภูมิกันบ้าง เผื่อเครื่องดีเลย์จะได้ไม่ไปหาให้วุ่นที่สนามบินฮาหมัด
คุณสำลีรายงานตรงจากประเทศไทย นี่คิวแกหรอนั่น ใครก็ได้ช่วยบอกฉันว่ามันไม่จริง เพราะฉะนั้น ถ้าขึ้นจากสุวรรณภูมิช่วยทำ Web Check-in ไปก่อนจะดีมาก และเผื่อเวลาไปประมาณหนึ่งด้วย
นางเล่าว่าเพราะความหน้าตาดี (จริงๆน่าจะดูน่าสงสารมากกว่า) เจ้าหน้าที่เลยให้บัตร Premium Lane ซึ่งเป็นโควต้าของ Business Class มา
-O- อ๊ากกกก คนเยอะมว๊ากกกกกกกกกก ถ้าเป็นปกติธรรมดาจะต้องต่อแถวขึ้นบันไดเลื่อนทางซ้าย แต่ด้วยพลังบัตรเบ่ง เอ้ย บัตร Premium Lane คุณสำลีเลยได้รับอภิสิทธิ์เดินฝ่าฝูงชนไปยังประตูที่มีป้ายเหลืองๆเขียนว่า Premium Lane นั่นแหละ สะบัดบ๊อบเข้าไปแสกนกระเป๋าได้เลยโดยไม่ต้องต่อคิว
ในที่สุดก็ได้รายงานยืนยันว่าเครื่องออกตรงเวลา เจอกันที่โดฮาอีก 8 ชั่วโมง
สำหรับสนามบินสุวรรณภูมิ ให้ 4/5 ดาว หักที่ความช้าและไม่มี Wifi ฟรีให้ใช้ แต่ก็ถือว่ายังค่อนข้างทันสมัยและเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ให้อภัยๆ
ตัดกลับมาที่ชางฮี เราจะขึ้นเครื่องกันแล้ว ที่นี่สมกับเป็น Hub ของ Qatar Airways เพราะเครื่องบินที่จะนำเราสู่ Doha นั้นคือ Dreamliner สุดไฮเทคนั่นเอง
ที่ประทับใจสุดๆคงเป็นหน้าต่าง เพราะสามารถปรับระดับความสว่างได้ด้วยปลายสัมผัส
Qatar Airways เป็นสายการบิน Full-Service ที่จัดเต็มทั้งเรื่องอุปกรณ์ข้าวของที่แจกบนเครื่อง ซึ่งประกอบด้วย หมอน ผ้าห่ม ถุงเท้า ที่อุดหู ที่ปิดตา เรียกได้ว่าหมอนรองคอกับรองหลังที่อุตส่าห์เป่ามาเมื่อกี้ แทบจะเขวี้ยงทิ้งได้เลย
อุปกรณ์ Entertainment ครบครัน ประมาณว่าถึงอยู่บนเครื่องบินทั้งเดือนก็ดูหนังในกรุไม่หมด มีทั้งหนังใหม่เอี่ยมและคลาสลิก ดูรอประกาศผลออสการ์ไปพลางๆ
เบื่อๆก็นั่งดูข้อมูลเส้นทางการบินไป
แบตจะหมดหรือ ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเค้ามีให้ตะเองชาร์ต
อาหารก็จัดว่าอยู่ในอันดับต้นๆของสายการบินทั่วโลก พอเครื่องขึ้นสักชั่วโมงครึ่งจะเสิร์ฟเบรก ซึ่งประกอบไปด้วยพายไก่ (รสชาติแอบเหมือนกินลังกระดาษเล็กน้อย) และบราวนี่ (อร่อยกำลังดี) ทุกอย่างร้อนกรุ่น ตอนแรกกะว่าจะกินพอประมาณ แต่ด้วยความหิวเลยฟาดเรียบก่อนนอนต่อ
บินไปซัก 6 ชั่วโมง อาหารมื้อหลักก็มาเสิร์ฟ ก่อนเสิร์ฟจะมีเมนูมาให้เลือก ได้แก่ ไข่ออมเลตชีสกับไส้กรอกไก่ โจ๊กปลาดอลลี่ หรือแพนเค้กซินนามอน
ผู้หญิงสวยผอมอย่างเรา แน่นอนว่าจัดหนักมาเลยครัช ตุนพลังงานไว้ก่อน อิอิ ออมเลตชีสกับไส้กรอกไก่
แต่มันเค็มจริงๆนะ เลยกินไม่หมด T^T
นั่งเมื่อยก้นอีกซักระยะ เข้าห้องน้ำอีก 2 รอบ ก็มาถึง Hamad International Airport ซึ่งอยู่ในกรุง Doha ประเทศ Qatar ตามเวลาที่กำหนด
น้านไง มา Dreamliner อย่างหรู แต่ลงมันกลางลานจอดเครื่องบินซะง้าน งวงช้างข้าพเจ้าอยู่ไหน
ขึ้นรถจากลานจอดเครื่องบินมาสนามบิน
ต้องเสียเวลาผ่าน Security อีกครั้งอีกต่างหาก ส่วนคุณสำลีที่บินมาแบบธรรมด๊าธรรมดาด้วย Boeing 777 มีงวงช้างมารอรับอย่างหรู เดินเข้าสนามบินได้เลยโดยไม่ต้องโดนตรวจค้น โลกนี้ไม่ยุติธรรม!
ออกมายืนเอ๋ออยู่กลางสนามบิน
มาสค็อตประจำสนามบิน (มั้ง?) หน้าตาเหมือนหมีสังหารมาก
เพราะนัดกันไว้ที่เกท เลยไปยืนส่องข้อมูลเที่ยวบินหาสถานที่นัดพบ แต่เนื่องจากเวลา Transit 4 ชั่วโมงกว่า เกทมันเลยยังไม่ออก เศร้า
ดูแผนที่ ไปไหนดี
เดินเปล่าเปลี่ยวอย่างห่อเหี่ยวหัวใจ
พยายามถามยามเพื่อหาจุดใช้อินเตอร์เน็ต ยามบอกว่า สนามบินข้าไฮโซเว้ย มันมีอยู่ทุกที่แหละ อ้าว หรอ โง่อยู่ตั้งนาน พอต่ออินเตอร์เน็ตได้ โดนคุณสำลีต่อว่าใหญ่ว่าอยู่ไหน ทำไมหายไปเลย แง หนูงงอยู่
ภารกิจต่อไปคือ ล้างหน้าแปรงฟัน เข้าห้องน้ำ หาน้ำกิน ที่นี่มีน้ำดื่มบริการฟรี เย็นชื่นใจมาก
เกทยังไม่ออก เลยไม่รู้จะไปรอที่ไหน เดินดูสนามบินและหาอะไรกินพลางๆก่อนก็ได้แว๊ อันนี้การแต่งกายของผู้ชายประเทศกาตาร์ ในสนามบินเห็นมีคนใส่แบบนี้อยู่ประปราย ต้องหนังหน้าดีเท่านั้นถึงจะใส่ขึ้น
หนังสือพิมพ์บ้านเค้า ชอบภาษาอารบิกมาก ตัวหนังสือเห็นแล้วจักจี๊หัวใจ แบบอารมณ์ภาษาจารึกในศิลาอาถรรพ์ (ไม่ใช่แฮร์รี่ พอตเตอร์นะเว้ย)
แม้จะหิวแทบไส้ขาด (ได้ข่าวว่าเพิ่งกินบนเครื่องไป) แต่อาหารในสนามบินฮาหมัดแพงสะแด่วจริงๆจนกินไม่ลง คือ แฮมเบอร์เกอร์ของ Burger King 1 อัน ประมาณ 30 QR x 8.8 = 270 THB ขนาดมาจากสิงคโปร์ที่ค่าครองชีพแสนแพงยังไม่ชิน คุณสำลีบอกไม่เป็นไร เพราะนางมี energy bar โห ฮีโร่เลยคนนี้
ด้วยความเหนื่อยล้า กินเสร็จหลับกลิ้งกันอยู่ตรงนั้นได้ซักพักก็สะดุ้งตื่น วิ่งไปดูที่กระดานข้อมูลเที่ยวบินอีกครั้ง โอ้ว เกททำไมมันช่างไกลเยี่ยงนี้ คืออยู่คนละฝั่งสนามบินโดยสิ้นเชิง เลยโบกรถกอลฟ์ที่วิ่งไปวิ่งมาแถวนั้น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าปกติเค้าเอาไว้รับ-ส่งผู้โดยสาร first class หรือเปล่า แต่ก็ลองขอเค้าไปด้วยเพราะขี้เกียจเดิน เลยได้นั่งราชรถไปเกยที่เกทแบบสบายๆ
ที่นี่ถิ่น Qatar Airways มีแต่แบบนี้จอดอยู่เต็มสนามบิน
Hamad International Airport นายได้ไป 4.5 ดาว ขอหักค่าครองชีพในสนามบินหน่อยเถอะนะ แพงเว่อร
เที่ยวบินต่อไป เราจะพาทุกๆท่านย้ายจาก Hamad International Airport (DOH) มุ่งสู่ Istanbul Ataturk Airport (IST) โดยจะใช้เวลาอยู่บนเครื่องทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง T^T
เครื่องออก นั่งไปซักพัก อาหารเสิร์ฟ (กรีดร้องด้วยความดีใจแบบเงียบๆ) แต่พอเพ็งดีๆ มันคือไรฟะ
สรุปทั้งถาด ขนมปังทางซ้ายบนอร่อยสุด นอกนั้นคิดซะว่าเรากินเพื่ออยู่ละกัน อย่าคิดมาก โดยเฉพาะไอหมายเลข 3 กินไปแล้วสำลัก รสชาดแทบบรรยายไม่ได้ว่ามันเป็นยังไง ได้แค่บอกว่าเลวร้ายสุดๆ
หลับไปได้ตื่นหนึ่ง เราก็ถึง Istanbul พอดี แต่ air traffic ค่อนข้างหนาแน่น กว่ากัปตันจะนำเครื่องลงจอดได้ต้องบินวนอยู่ประมาณ 20 นาที ผู้โดยสารปรบมือกันเกรียว บนฟ้าแดดแรงมว๊าก แต่พอลงมาฟ้าอย่างทะมึน ตามพยากรณ์อากาศเป๊ะ ส่องไปข้างนอก ฮือหือ นี่มันถิ่น Turkish Airline ชัดๆ มีแต่หางแดงเต็มไปหมด
เช่นเคย เครื่องบินวนๆไปจอดมันกลางลานบิน โดยที่มีรถบัสมาจอดคอยท่าอยู่แล้ว จังหวะแรกที่ออกจากเครื่องบินไปสัมผัสบรรยากาศภายนอกนี่คือผงะ โคตรรรรรรรรรหนาว หวิวมาก หายใจทีไอกรุ่น ขนาดใส่ Fleece มา 1 ชั้นยังหนาวสะดุ้ง วิ่งกระโหยงกระเหยงเข้าบัสแทบไม่ทัน
คนขับรถดูมึนมาก เอาพวกเราไปจอดแช่ไว้อย่างนาน ดีที่ทุกคนยังตื่นเต้นอยู่เลยไม่มีใครอาละวาด กว่าจะถึงอาคารผู้โดยสารนี่รอแทบเหงก
เดินตามป้ายนี่ไปเลยจ้า Pasaport Kontrol
ตรงต.ม. ให้เข้าไปเลยนะคะ ไม่ต้องกรอกอะไร แต่เห็นคิว ต.ม. แล้วแทบเป็นลม หนักกว่าที่ไทยอีก กว่าจะผ่านมาได้ลมแทบจับ
หลุดออกมาได้หาเคานเตอร์แลกเงินก่อนเลย
การแลกที่สนามบินต้องแลกให้น้อยที่สุด เนื่องจากเรทไม่ดีแถมยังมีค่าคอมมิชชั่นอีกต่างหาก อีกอย่างคือพยายามแลกในบริเวณเกทจะได้ถูกกว่า
พวกเราแลกไป 15 EUR ได้มา 40.43 TL เรทอยู่ที่ 2.82 แต่โดนค่าคอมมิชชั้นไป 4.1% เลยตก 1 TL = 13.8 THB
แลกเงินเสร็จก็ไปรอกระเป๋า โอ้วแม่เจ้า กระเป๋าคุณสำลีมาแต่ของฉันไม่มาซักที ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว ลูกแม่ก็มาพอดี ได้เวลาผจญภัยต่อแล้วววว
ระบบการจัดการของสนามบินนี่เข้าขั้นเลวร้ายสุดๆ เครื่องลงตามเวลาอยู่คือ 13:10 ไอเราก็วางแผนว่าบ่ายสองโมงครึ่งน่าจะถึงโรงแรม โอย ทุกอย่างช้ามาก จากรถบัสนั่งไปถึงอาคารผู้โดยสารนี่เกือบ 45 นาที การจราจรในลานจอดเครื่องบินติดขัดเหมือนถนนในกรุงเทพ แล้วยังไปจอดแช่อีกเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะไม่แน่ใจว่าต้องไปส่งผู้โดยสารที่ไหน ใช้เวลาผ่านต.ม. อีก 45 นาที รอกระเป๋าอีก 30 นาที กว่าจะออกจากสนามบินได้บ่าย 3 พอดี เซ็งกันเลยทีเดียว
ฉะนั้น Istanbul Ataturk Airport ด้วยความนายที่เป็น International Airport ด้วยแล้ว ทำให้คะแนนย่ำแย่ขึ้นไปอีก เอาไป 2/5 คะแนนพอ (สะบัดบ็อบ)
ขั้นตอนต่อไปคือการเข้าเมืองเพื่อไปเช็คอินเก็บกระเป๋าที่โรงแรม ไม่รอช้าเดินไปหา Metro ทันที ก่อนอื่น เอาแผนที่มาให้ดูกันคร่าวๆ
เก๊ารู้ว่ามันฉับฉน แต่จะพยายามอธิบายให้เคลียร์นะคะ
ถึงแม้มันจะมีอยู่หลายสายหลายสีก็ขอให้สนใจแค่ M1 (Metro) เส้นสีแดง และ T1 (Tram) เส้นสีน้ำเงิน ซึ่งเป็น 2 สายหลักที่เราจะใช้กันตลอดทริปใน Istanbul
ตอนนี้เราอยู่ที่สถานี Havalimani (เป็นภาษาตุรกีแปลว่าสนามบิน) สายสีแดง เราจะต้องนั่งไปเปลี่ยนขบวนเป็นสายสีน้ำเงินที่ Zeytinburnu และนั่นสายสีน้ำเงินไปลงที่ Sultanahmet ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่า มีสถานที่สำคัญเช่น Blue Mosque, Hagia Sophia, Topkapi Palace, Hippodrome และโรงแรมที่พวกเราจองไว้ก็อยู่แถวนั้นเช่นกัน
เข้าใจกันแล้วก็ไปกันโลด
ก่อนอื่นต้องไปซื้อบัตร Istanbulkart ก่อน บัตรนี้ซื้อใบเดียวใช้กี่คนก็ได้ เพราะค่าโดยสารเป็นแบบเหมา เท่ากันหมดไม่ว่าจะไปไหน ใกล้ไกล แตะบัตรครั้งเดียวขาเข้า บัตร Istanbulkart 10 TL มีมูลค่าในบัตร 4 TL ที่เหลือเป็นค่าบัตร (refund ไม่ได้ เก็บเป็นที่ระลึกไว้ละกันเนอะ) จากนั้นก็ถือบัตรไปเติมเงินตู้ข้างๆ 20 TL เป็นค่าเดินทางพอเข้าเมืองและไปไหนมาไหนอีกนิดนึง
บรรยากาศใน Metro คนแน่นมากกกกกกก พวกเราก็สุดจะพะรุงพะรัง กระเป๋าใหญ่กระเป๋าเล็กวุ่นวาย โชคดีที่มีคนแก่ชาวตุรกีบอกฉันว่าให้เอากระเป๋าใหญ่มาพิงเขา(ที่นั่งอยู่)ไว้ได้ ประทับใจตั้งแต่เริ่มทริป
ถึงสถานี Zeytinburnu ก็ต้องออกจาก Metro และเปลี่ยนมาเป็นรถ Tram แตะบัตรเสียเงินกันอีกรอบ
สถานีรถรางมันป้ายรถเมล์บ้านเรา คือแบบ open air จังหวะนั้นได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจว่าทำไมไม่ยอมสวม Baselayer และ jacket ทับอีกชั้นให้เรียบร้อย หนาวสุดจะบรรยาย ทั้งฝนตก ลมพัด มือไม้สั่นไปหมด เห็น Tram วิ่งเข้ามานี่ยิ้มอย่างดีใจ
ให้ไปทาง Kabatas (คือสุดทางที่สถานี Kabatas)
นานกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงสถานี Sultanahmet พอออกจาก Tram ปั๊บ ต้องรีบเปิดกระเป๋าค้น Jacket ตัวนอกมาใส่ หนาวไม่ไหวแล้ว
จากสถานีถึงโรงแรมเดินไม่ไกลมาก ประมาณ 600 เมตร แต่ด้วยความหนาว หนัก เหนื่อย มันเหมือนเดินขึ้นภูกระดึงไม่ปาน โชคดีที่คุณสำลีศึกษาแผนที่มาแล้วเป็นอย่างดี ทำให้พวกเราเดิน(แบบสั่นๆ)ไปถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพ
เป็นโรงแรมเล็กๆ แต่ก็น่ารักดี
พอยื่นหลักฐานการจองกับ Passport แล้ว ผู้ดูแลโรงแรมก็บอกให้นั่งรอสักครู่เพราะกำลังอัพเกรดห้องพักให้หรูขึ้นกว่าเดิม (โอ้วววว จริงป่าววว้าาาาา) แถมยังมีขนมนมเนยบริการให้ แหมมม ซัดไปหลายชิ้นเลยอ่ะ รสชาดไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ ที่เค็มก็เค็มปะแหล่มๆ ที่หวานก็หวานงงๆ
อันนี้จองมาคืนละ 2,064 บาท ตัดที่เรท 1 EUR = 40 THB ตกประมาณ 50 EUR แต่ถ้า walk-in เตรียมตัวจ่ายราคานี้ได้เลย โหดมากกกก ของพวกเราน่าจะได้ upgrade เป็น deluxe คือ 350 EUR หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 12,000 THB
รออยู่ 15 นาที เค้าก็อนุญาตให้ขึ้นห้องได้ พร้อมกับส่งเด็กถือกระเป๋าหน้าตาจิ้มลิ้มมาช่วยแบกกระเป๋า เลยทิปไป 3 TL โทษฐานหน้าตาดี
ว่าแล้วมาดูห้องกันก่อนเลยดีกว่า ว่าจะหรูจริงไหม
เตียงนี่หลุยส์มาเลย แต่ดูรีบทำไปหน่อยนะ ยับเชียว
ห้องน้ำกว้างสุดแล้วที่นี่ จากที่นอนมาทั้งหมด น้ำอุ่นไร้ปัญหา เอาไป 10 กะโหลก
พีคสุดคือระเบียง เปิดออกไปแล้ว โอ้วววววว กว้างมาก มองออกไปแล้ว อูววว Blue Mosque อ้ะ เลิศค่าาา
อีกด้านมองไกลๆเป็นทะเล
เอกลักษณ์ของโรงแรมที่ Istanbul คือลิฟต์ เหมือนห้องอะไรซักอย่างนึง เปิดประดูเข้าไปจะเป็นลิฟต์ แคบมากแต่ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะโดนความน่ารักกลบหมด เอิ่มมม
สำรวจได้แค่ 10 นาทีก็ต้องรีบไป เพราะถ้า Grand Bazaar ปิดแล้วอดแลกเงินจะอดข้าวเย็นเอา
พอดีเดินผ่าน Blue Mosque เลยอดชะแว็บเข้าไปดูไม่ได้
Blue Mosque มัสยิดสีฟ้าหรืออีกชื่อหนึ่งคือ มัสยิดสุลต่านอาห์เมต (Sultan Ahmed Mosque) เดาไม่ถูกเลยว่าใครสร้าง อิอิ โดยเรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าหลังจากที่ออตโตมัน ยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบูล) ได้สำเร็จ ท่านสุลต่านอาห์เมตแกก็นั่งมอง Hagia Sophia ด้วยความสะเทือนใจว่าทำไมสร้างได้ยิ่งใหญ่อลังถึงเพียงนี้ ก็เลยโปรดให้สร้างมัสยิดอีกหลังขึ้นมา ตั้งมันตรงข้ามแม่ม ให้มันรู้ไปว่าไผ๋เป็นไผ๋ ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี พอสร้างเสร็จไม่นานก็ทรงสิ้นพระชนม์ตอนอายุ 27 ปีเอง เศร้าเนอะ
ที่ตลกคือตอนเข้าไปดูจะเห็นว่าหอสูงๆใช้ร้องแจ้งเวลาทำละหมาดที่เรียกว่า Minaret (ตอนยังไม่มีเครื่องขยายเสียงลำโพงนี่เหนื่อยโฮก ปีขึ้นหอแล้วยังต้องแหกปากลงมาอีก) มีอยู่ 6 เสา ซึ่งมัสยิดปกติถ้าไม่ใหญ่มากจะมีแค่ 2 ใหญ่ขึ้นมาหน่อยจะมี 4 หอ เนื่องจากท่านสุลต่านบอกสถาปนิกที่จ้างมาว่า อยากได้หอ Minaret เป็นทอง (Altin) แต่สถาปนิกฟังเป็น Alti แปลว่าเลขหก เลยจัดมาหกหอมันซะเลย สุลต่านออกมาดูอีกทีคงแบบ เห้ย มาจากไหนฟร๊ะ ทางนครมักกะฮ์ ซึ่งถือว่าเป็นมัสยิดอันดับหนึ่งได้ทราบข่าวเข้าก็เดือดสิคะ แหมมม บังอาจมาสร้าง 6 หอเทียมกันได้ไง ท่านสุลต่านเลยทรงโพสต์ลงเฟสบุ๊ค เอ้ย ส่งเงินไปสร้างหอ Minaret เพิ่มเป็น 9 หอมันซะเลย
ที่เรียกว่ามัสยิดสีฟ้าเพราะถูกประดับด้วยกระเบื้องอิซนิกสีฟ้ากว่า 21,000 แผ่น มีเรื่องเล่าว่าท่านสุลต่านทรงกดราคา ช่างจากเมืองคัปปาโดเกียเลยคิดในใจว่า ไม่ไหวแล้วโว้ยยย แล้วลดคุณภาพกระเบื้องลง กระเบื้องจากสีแดงกลางเป็นสีน้ำตาล สีเขียวกลายเป็นสีฟ้านั่นเอง
เวลาทำการ: ทุกวัน 09.00 จนถึงฟ้ามืด
ปิด: 30 นาที จนถึง 30 นาทีหลังทำละหมาด, 2 ชั่วโมงระหว่างการทำละหมาดใหญ่วันศุกร์
ราคา: ฟรี เพราะขี้เกียจแยกระหว่างนักท่องเที่ยวกับคนมาทำละหมด
*ผู้หญิงอย่าลืมเอาผ้าพันคอไปพันนะจ๊ะ
มาดูกันว่าฟ้าจริงป่าว
บรรยากาศคนเตรียมละหมาด ตอนเข้าไปต้องถอดรองเท้าใส่ถุงพลาสติกแล้วหิวเข้าไป ดีนะที่ไปหน้าหนาว เท้าแต่ละคนเลยไม่เหม็นมาก คนก็น้อยด้วย คิดสภาพไปคนเยอะๆ เหงื่อออกซ่กๆ อืมมมม
ได้รูปมาแค่นี้เพราะเค้าปิด 5 โมง (ไป 5 โมงพอดี) เค้าไล่คนที่ไม่ได้มาทำละหมาดออกหมด เจ้าหน้าที่มีมองหน้าคุณสำลีแล้วแอบลังเลว่าใช่คนมาทำละหมาดไหม 555 ออกมาซุ่มถ่ายข้างนอกกันต่อ ใหญ่จริงอะไรจริง คนเหลือตัวกะปิ๊ดเดียว
ออกมาแอบถ่ายฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย Hagia Sophia หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ได้มาเห็นซักสิ่งมหัศจรรย์ก็วันนี้แหละ ซับน้ำตาแพพ
จากนั้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเงินติดตัวแค่ 10 TL เลยรีบไป Grand Bazaar อย่างด่วน จริงๆแล้วไปรถรางได้ลงสถานี Beyazit (นั่งย้อนจาก Sultanahmet ไปสถานีเดียว) แต่อยากเดินชมเมือง เลยค่อยๆเดินกันไป ไม่นานก็ถึงที่หมาย
แกรนด์บาซาร์ เป็นตลาดที่เปิดมากว่า 1,500 ปีแล้ว (นานกว่ากรุงเทพบ้านเราประมาณ 3 เท่า มันจะถล่มลงมาไหมเนี่ย) ใหญ่ที่สุดดังที่สุด มีขายมันทุกอย่าง ซากกะเบือยันเรือรบ (อาจจะไม่มีทั้งคู่ แล้วแกจะพูดเพื่อออ) อย่ามาซื้ออะไรที่นี่เลย แพง เดินไปอีกนิดก็ถึงตลาดเครื่องเทศ (Spice Market) ถูกกว่าแบบเห็นๆ แต่ถ้าเรื่องแลกเงินต้องที่นี่เท่านั้น รับประกัน no commission แทบทุกร้าน (แต่อย่าลืมเช็คนะ)
เวลาทำการ: ทุกวัน 08.30 – 19.00
ปิด: วันอาทิตย์, วันที่ 29 ตุลาคน และวันหยุดทางศาสนา
มาถึงก็จ้ำหาร้านแลกเงินที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเทพที่สุด เช็คทั่วแล้วพอจะกลับไปร้านเดิมเกือบหาไม่เจอ ใหญ่จัด ร้านนี้รับแลก 100 EUR/100 USD ขึ้นไป พวกเราตกลงว่าจะแลก USD ที่เอามาทั้งหมด ด้วยเรท 1 USD = 2.471 TL คือตอนแรกหน้าร้านมันขึ้น 2.472 พอได้จริงๆดัน 2.471 โวยวายอยู่ในร้าน มันบอกให้ไปดูใหม่ แมร่งปรับเหลือ 2.471 เฉย หอยหลวดดดด ได้มา 2,376 TL สำหรับการกินอยู่ 2 คนตลอด 10 วัน จะรอดไหมมม
คิดกลับเป็นเงินไทย 1 TL = 13.1 THB ถือว่าไม่เลวเลย แค่คูณไม่สะดวก
พอได้เงินมาแล้วก็เริงร่า เลยออกเดินต่อเพื่อไปหาอะไรกินที่ Taksim Square (เพิ่งมาตระหนักตอนหลังว่าไกลอิ๊บอ๋าย) ตอนนั้นฝนตก หนาวมาก ขนาดปากแข็งลิ้นแข็งไปหมด กว่าจะพูดได้แต่ละคำแสนลำบาก เดินๆไปเจอไอนี่ขายอยู่กลางถนน โอ้ววว น่าสนใจ หมายถึงของกินนะ ไม่ได้สนใจคนขายเลยสักกะติ๊ดดดด
Sahlep หรือ Winter Drink เครื่องดื่มโบราณของตุรกีตั้งแต่สมัยออโตมันที่มีขายเฉพาะหน้าหนาว คือประมาณเดือนตุลาถึงเมษา สรรพคุณมีหลายอย่างตั้งแต่ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร โรคเหงือก แก้ไอและหวัด เสิร์ฟโดยโรยผงซินนาม่อนเล็กน้อย จิบแล้ว อืมมมม ถ้าจะหวานขนาดนี้ตรูคงเป็นเบาหวานก่อนเหงือกแข็งแรง สนนราคาแก้วนี้ 2 TL เด้อ
เดินต่อไปอีกหน่อย เหลือบไปเห็นแผงลอยขายขนมหวาน
เลยจัด Baklava มา 2 ชิ้น ชิ้นละ 2 TL เห็นมีคนบอกว่า อร่อยมากกก คือกินเข้าไปแล้วแสบคอเลยอ่ะ ชิ้นหนึ่งตกอยู่ที่ 300 kcal อุต๊ะ
ออกมาโต๋เต๋กลางสายฝนอยู่แถวสะพานกาลาตา (Galata Bridge)
ข้างๆสะพานมีร้านขาย Fish Sandwich เพียบชิ้นละ 6 TL ต้องไปจัดซักหน่อย
คือ ปลาตรู อยู่ไหน?
บิออกมา เจอปลาแย้ว ปลาอร่อยดี แต่ขนมปังปาทิ้งแถวๆนั้นได้เลย
เผลอแปร๊บเดียว นางไปสั่ง Stuffed Mussel (Midye Dolmasi) หรือหอยแมงภู่ยัดไส้มากิน ตัวละ 2 TL ยังดีที่สั่งเผื่อกัน เลยอภัยให้ได้ บีบมะนาวหน่อย (ไม่เห็นจะอร่อยเลย T^T)
กินเสร็จก็เดินข้ามสะพานไปเขตฝั่งเมืองใหม่ ฝนตก ลมกรรโชกขนาดนี้ ยังมีลุงๆมายืนตกปลา พร้อมทั้งก่อไฟผิงไปด้วย
หันไปหาที่ฝั่งที่เราเดินจากมา ร้านเขียวๆเรียงเป็นตับนั่นร้านขาย Fish Sandwich แหม ทำยังกะร้านเกี๋ยวเตื๋ยวเรือแถวรังสิต ไกลไปบนเขาคือ Suleymaniye Mosque เค้าว่ากันว่าสวย เล็งไว้ก่อน เดี๋ยวมีเวลาค่อยไป
เดินขึ้นเขาไปหา Galata Tower
เดินลงเขาหาถนนอิสทิคคัล Istikal avenue ซึ่งเป็นถนนย่าน shopping รวมห้างและร้านอาหารเข้าไว้ด้วยกัน ยาวประมาณ 3 กิโล แต่เดินหลงแล้วหลงอีก ถามทางคนแถวนั้น ถามไป 5 คน ในที่สุดก็คลำเจอ
อ่านคำบรรยายแล้วคิดไว้ว่าประมาณถนน Orchard หรือแถวสยาม แต่ไปเห็นจริงๆรู้สึกเป็นย่าน shopping ที่คลังแปลกๆ อาจจะด้วยสไตล์การตกแต่ง สภาพอากาศ ผู้คน
หิวจัด (เหมือนเพิ่งกินมาเมื่อกี้) เดินมาเจอร้านนี้ เห็นเคบับมันยั่วยวนดีเลยเข้าไปโดนซะหน่อย
เชฟหันกันอย่างเมามัน
จัดมาอันหนึ่งเพ่
เอาไปเลยน้อง 6.5 TL กัดโดนเนื้อไก่ เฟรนฟรายทีนี่อร่อยมากกก แต่ต้องค่อยหยิบมะเขือดองออก รสชาดไม่ไหวจะเคลียร์
สลัดที่นี่ แปลกดีหนอ ไม่กล้าสั่ง
เดินผ่านร้านขาย Turkish Delight ยั่วยวนมาก
เดินไปเรื่อยเจอรถรางวิ่งมา คันเล็กน่ารักเชียว
เดินมาจนสุดถนนเจอ Taksim Square ซะที อันนี้เปรียบเหมือนราชประสงค์บ้านเรา คนจะมาชุมนุมกันที่นี่เพื่อประท้วงทางการเมือง
ได้เวลากลับโรงแรมแล้ว ง่วงมากกกกกกกกกกกกก หนาวมากกกกกกกกก
หนาวจนแทบจะขาดใจ แต่คุณสำลียังมีอารมณ์ไปปีนระเบียงถ่าย Blue Mosque อีก เลยให้เป็นรูปปิดท้ายวันซะเลย
วันนี้เดินทางกันทั้งวัน รูปสวยๆมีไม่ค่อยมาก พรุ่งนี้สัญญาว่ามันจะสวยขึ้น เพราะพวกเราจะไป Hagia Sophia สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลางของโลก ติดตามนะจ๊ะ
รอติดตามครับ
-v- ขอบคุณค่าาาา