ครั้งหนึ่งตอนยังเป็นเด็กน้อย ได้มาเที่ยวเขาค้อกับครอบครัว เจอทะเลหมอกโดยไม่ได้ตั้งใจ จำได้เลือนรางว่า สวย เหมือนฟ้าทั้งฟ้าปูพรมกำมะหยี่สีขาว จนอยากจะลองสัมผัสว่ามันจะนุ่มขนาดไหน ครั้งนี้แน่นอนว่า นอกจากจะมาผจญภัยแล้ว สิ่งที่หวังจะมาสัมผัสเป็นอันดับต้นๆ คือทะเลหมอก ความอลังแห่งธรรมชาตินี่เอง
จากคำแนะนำจากเจ้าของร้านอาหาร พวกเราตั้งนาฬิกาปลุกเพิ่อตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เรียกได้ว่าฟ้ายังมืดตื๊ดอยู่เลย
ช่างภาพของเรางัวเงียตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำคือคว้า counterpain มาวอร์มกล้ามเนื้อ เตรียมตะกายเนินไปถ่ายทะเลหมอก
ระหว่างที่คนอื่นกำลังเตรียมตัวอยู่นั้น คุณสำลียังแน่วแน่ที่จะนอนต่อไป = =^
เมื่อทุกคนพร้อม ก็ได้เวลาออกเดินทางตามล่าหาทะเลหมอก
พวกเรามาถึงหอดูดาวและจุดวัดอุณหภูมิกันเป็นกลุ่มแรก ถึงหมอกจะหนาแค่ไหน แต่ช่างภาพเตรียมกางขาตั้งกันอย่างขะมักเขม้นและมีความหวัง
ไม่รู้ว่าอุณหภูมิเท่าไหร่ เพราะที่วัดอุณหภูมิดันเสียพอดีช่วงที่ไป แต่หนาวมว๊ากกกกกกกกกก
หลังจากยืนดูหมอกลงหนาอย่างท้อใจอยู่ได้สักพัก แสงแรกของวันก็เริ่มมา
ช่างภาพตาลุก ไม่ได้หมอก เอาพระอาทิตย์ขึ้นก็ได้ฟร้าา
หันไปทางซ้าย ไม่ได้ทะเลขอเป็นควันลอยฟุ้งๆก็เอา ณ จุดๆนี้
แดดเผาจนตัวสีน้ำตาลไปแย้ว ที่รักของช้านนน
แชะรูปรวม กร๊ากกกกก
กับป้ายยย ไม่น่าเชื่อว่ามาถึงจุดที่สูงที่สูงของภูทับเบิกแย้ววว
เฮฮากับพระอาทิตย์ขึ้นและกระหย่อมหมอกก็ถึงเวลากระย่องกระแย่งกลับที่พัก
กินอาหารเช้าฟรี เก็บของ และก็ได้เวลาลาจากภูทับเบิกแล้ว ต้องรีบไปเดี๋ยวไปขึ้นเครื่องกลับสิงคโปร์ไม่ทัน TT
พร้อมคร๊าบบบ
จะลงจากภูก็ยังมิวาย แวะร้านกาแฟสักนิด ร้าน PHUTUBBERK อยู่ระหว่างทางลง
วิวดีชะมัด
คุณสำลีเจอคู่เหมือนแต่ต่างสี
ลาจากภูท้บเบิกไว้เพียงเท่านี้ คราวหน้า ต้องมาล่าทะเลหมอกตัวจริงเสียงจริงให้จงได้!
เอาค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยมาฝากค่ะ อันนี้กินอยู่อย่างราชาเลยทีเดียว ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับการเที่ยวต่างประเทศที่มีค่าเงินสูงกว่าเรา
ขอทิ้งท้ายด้วยความรู้สึกนี้ I miss Thailand >3< คิดถึงจังประเทศไทย
GREAT POST!!!!