หลังจากถูกปล่อยเกาะ (ก็เกาะจริงๆนะ) มานาน ก็ได้เวลาเหินฟ้ากลับบ้านซักที กลับบ้านไปคราวนี้ นอกจากจะกลับไปซบอกพ่อแม่แล้ว ยังมีทริปท่องขุนเขาเมืองไทยรอฉันอยู่
เนื่องจากตั้งใจไว้ว่า จะกลับเป็นไตรมาส 3 เดือนครั้ง จึงซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านล่วงหน้าตั้งแต่มาอยู่ได้ 2 อาทิตย์ จนเพื่อนที่ทำงานงงว่า ยูเพิ่งมา ทำไมจะกลับแล้วล่ะ ก่อนกลับประมาณ 1 เดือน เพื่อนในก๊วนสนิทแชทมาหา ทวงถามถึงทริปประจำปีที่ปีนี้ยังไม่มีกำหนดการใดๆ ไอเราก็ไม่อยากเสียทั้งเงินและวันลาบินไปบินมาหลายๆรอบ ก็เลยนัดไปท่องป่าในคราวเดียวกันนี้เลย
ฉันเป็นคนที่อารมณ์ขึ้นตามสภาพแสงแดด ถ้าฝนตกจะรู้สึกหม่นหมองมาก อีกทั้งยังเกลียดสภาพชื้นแฉะ เลยไม่คิดจะเที่ยวหน้าฝนมาก่อน โดยเฉพาะเที่ยวป่า เพราะมันคงอี๋และเละน่าดู แต่ช่วงที่กลับไป (3-8 ต.ค. 2014) เป็นปลายฝนต้นหนาว ก็เลย เอาวะ ลองเปลี่ยนบรรยากาศเที่ยวป่าหน้าฝนดู ท้าทายและแปลกใหม่ดี ดังนั้นเลยตั้งธีมการเที่ยวครั้งนี้ว่าต้อง “ผจญภัย” ให้มันสุดๆไปเลย
ต้องขอบคุณเพื่อนชาวสิงคโปร์จริงๆที่อุตส่าห์แนะนำให้จองตั๋วเครื่องบินกับ Scoot (ปกติรู้จักแต่ Air Asia) ที่มักจะปล่อยตั๋วถูกออกมาทุกวันอังคารเช้าตรู่ โดยจะปล่อยออกมาเป็นช่วงๆ เช่น ตั๋วที่ขายวันอังคารที่จะเป็นของระยะเวลาตั้งแต่ 1 ม.ค. – 15 ม.ค. อังคารหน้า 16 ม.ค.- 1 ก.พ. อะไรประมาณนี้ เลยได้ราคามาแบบรวมทุกสิ่งอย่างแล้ว 115 sgd (2,875 bht) ถือว่าถูกมาก แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของ Scoot คือมีวันละรอบ ออกจากสิงคโปร์ประมาณ 6 โมง (ดังนั้นจะต้องรีบรุดออกจากที่ทำงานไม่เกิน 4 โมง บางทีอาจต้องลาบ่าย) และขากลับถึงสิงคโปร์ประมาณเที่ยงคืน MRT หมด ต้องขึ้นแท็กซี่ซึ่งจะบวกอีก 50% โทษฐานที่บังอาจขึ้นหลังเที่ยงคืน (จัดค่าแท็กซี่ไป 750 ถ้วน T^T) ดังนั้นเวลาเปรียบเทียบราคา ก็ต้องคิดค่าตรงนี้ไปด้วย
วันนี้ขอเจ้านายไปทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าแล้วออกบ่าย 3 (แบก backpack ไปทำงานมันเลย) นั่ง MRT พุ่งตรงสนามบินชางฮี ตื่นเต้นมากกกกกกกก อยากกลับไปหาพ่อแม่ หาคุณสำลี หาป่าเขาลำเนาไพร เบื่อตึกเต็มที มาถึงก็หาเคาน์เตอร์ check in ก่อนเลย ชอบป้ายแบบนี้มากกกก มันคลาสลิก
หาเคาน์เตอร์ Scoot เจออย่างรวดเร็ว
สำหรับคนงกเช่นฉัน จะให้เสียสตางค์ซื้อน้ำหนักกระเป๋า 40 sgd (1,000 bht) หรอ ไม่มีทาง เลยไปศึกษามาอย่างดีว่า สามารถถือกระเป๋าขึ้นเครื่องได้ 2 ใบ ใบใหญ่ 7 กิโลกรัม ใบเล็ก 3 กิโลกรัม เลยเอาสองใบคู่ใจนี้ไป ใบที่เป็น backpack นี่ประมาณ 50 ลิตร แต่ใส่ของไปครึ่งเดียว เสื้อผ้าล้วนๆ แล้วใช้วิธีการเอาสายดึงๆรัดๆเอาให้เล็กที่สุด เดี๋ยวขนาดไม่ผ่าน ส่วนเรื่องน้ำหนักที่สิงคโปร์เข้มงวดมาก จับชั่งตรงเคาน์เตอร์นั่นเลย (แต่ชั่งแค่ใบใหญ่) สิริรวมน้ำหนัก 5 กิโลนิดๆ ถือว่ารอดไป ไม่งั้นต้องเสียสตางค์หลังอานบานตะไทแน่ๆ
ถึงด่านตรวจ ต.ม. ที่สนามบินชางฮี จริงเค้ามีช่องพิเศษสำหรับผู้มี work permit แค่แสกนบัตรก็เดินเฉิบเข้าไปได้เลย แต่ก็ดั๊นนนน เสลอไปต่อแถวธรรมดา เลยโดนสอบโดนตรวจหลักฐานมากมายก่ายกอง (เพราะอยู่เกิน 30 วัน)
ถ้าเป็นที่เมืองไทย ออกจะ ต.ม. มาจะโดนตรวจสัมภาระเลย แต่ที่สนามบินชางฮี จะตรวจสัมภาระตอนก่อนจะขึ้นเครื่อง คือเกตใครเกตมันมีคนละอัน ข้อดีคือ สะดวกรวดเร็ว ลดการตกเครื่องได้ระดับหนึ่งเพราะอย่างน้อยเจ้าหน้าที่เห็นว่าเรามาแล้ว ยืนรอตรวจกระเป๋าอยู่หน้าเกตนี่เอง ข้อเสียคือซื้อน้ำจากบริเวณที่ช็อปปิ้งขึ้นเครื่องไม่ได้ ต้องซื้อบนเครื่องอย่างเดียว (สังเกตว่าสนามบินชางฮีออกแบบให้หลายๆขั้นตอนรวดเร็วขึ้นมาก สมเป็นสนามบินอันดับหนึ่งของโลกจริงๆ)
นอกจากงกมากแล้วยังหน้าหนาเป็นพิเศษ ระหว่างเช็คอินทำหน้าตาหน้าสงสารขอ window seat มา เจ้าหน้าที่เห็นใจเลยจัดให้ ระหว่างนั่งรอคนขึ้นเครื่องเลยจัดมาซักรูป แฮ่ แอบอยากนั่งลำที่จอดอยู่ข้างๆ
สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นนนน พระอาทิตย์ตกพอดิบพอดี
บินออกนอกเกาะแล้ว เรือขนส่ง (อันเป็นอีกรายได้หลักของประเทศ) เต็มไปหมด
นอกจากนี้ก็ไม่ได้ถ่ายอะไรแล้วเพราะเข้าเมฆฝนตลอด ขนาดเครื่องบินลำใหญ่แล้วยังสั่นครืดคราด โน้ววว อย่ามาเป็นลางขนาดนี้
ถึงเมืองไทยผ่าน ต.ม. มาได้ง่ายดายมาก เพราะมีช่อง only Thai Passport อยู่ แล้วคนไทยที่มากับ Scoot น้อยมาก ถึงเจ้าหน้าที่ ต.ม. จะหน้าหงิกเป็นตูด (ต้อนรับตรูหน่อยสิ อุตส่าห์ไปหาเงินสกุลอื่นกลับมาใช้ที่บ้าน) แต่ได้ออกมาเร็วมาก พ่อแม่ก็ไม่เห่อเลย ยกขบวนกันมารับทั้งบ้าน
หลังจากจากบ้านมาร้อยกว่าวัน ในที่สุดก็ถึงซักที
I’m back, Thailand
ขออยู่กับครอบครัว 1 วัน แล้วพบกัน post หน้า ได้เริ่มต้นทริปสุดโหด มันส์ ฮา กันแน่นอน