กาลครั้งหนึ่ง หลังจากทริปฮ่องกงเพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน สายการบินสีแดงก็จัดโปรโมชั่นใหญ่ที่เรียกว่า Big Sale สองนักหัดเที่ยวมือใหม่ ที่ยังติดใจกลิ่นอายของการหลง งง เงิบ ก็อดตาหลับขับตานอน สอยตั๋วไปสิงคโปร์มาได้ 2 ใบ ใบละ 4,000 (รู้สึกไม่ได้ถูกเลยซักนิด)
หลังจากนั้นสองอาทิตย์ ฉันก็ได้รู้ว่าตัวเองจะได้มาทำงานที่สิงคโปร์ ท่ามกลางความดีใจอันเป็นล้นพ้น สมองส่วนซีรีเบลลั่ม(มั่ว) ก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า “แล้วตั๋วไปสิงคโปร์ตรูล่ะ” เพราะกำหนดการทำงาน มันดันไปก่อนวันจองไปเที่ยวเฉย
กฎพี่แดงของเราก็เข้มงวดเหลือเกิน เปลี่ยนชื่อก็ไม่ได้ เปลี่ยนวันแบบสลับเที่ยวบิน (ตอนแรกจองกรุงเทพ – สิงคโปร์, สิงคโปร์-กรุงเทพ จะสลับเป็นสิงคโปร์ – กรุงเทพ, กรุงเทพ – สิงคโปร์) ก็ไม่ได้ ขนาดจ่ายเงินเพิ่มนะเนี่ย กระซิก เลยต้องตัดสินใจทิ้งตั๋วและรอคุณสำลีบินมาหาแทน มองในแง่ดีคือ ไม่ต้องเสียค่าโรงแรมละนะ
Important Notice: Post นี้มีความพิเศษเล็กน้อยที่ฉันจะเปิดเผยโฉมหน้า(บานๆ)ของตัวเอง และคุณสำลีแบบตัวเป็นๆ ออกแนวรีวิวกึ่งบันทึกความทรงจำ ถ้ามันเลี่ยนนักก็ผ่าน post นี้ไปได้นะคะ 5555 (หวังว่าคุณสำลีคงไม่มาเห็นและบ่นเอา)
ตารางท่องเที่ยวคร่าวๆ
31 July 2014
9:40 Cotton arrive @ Changi Airport
12:00 Buy ticket @ People’s Park Centre
13:00 Lunch @ Maxwell Road Food Centre
14:00 Chinatown
16:00 Gardens by the Bay – Flower Dome & Cloud Forest
16:30 Marina Barrage
17:30 Dinner @ Food Court Marina Bay Sands
18:45 The Helix Bridge (DNA) – Watching Sun Set
20:00 WonderFull (ฝั่ง MBS)
20:45 Gardens by the Bay – Supertree Glove Show
21:45 Singapore Flyer
23:30 Home
เห็นตารางเวลาแล้วท้อ ทำไมมันหลายอย่างยิ่งนัก แต่ไม่เป็นไร เราสู้ววววว
เริ่มจากทำป้ายต้อนรับคุณสำลีก่อน จะได้โดดเด่นสะดุดตาเหนือใคร หาเจอง่าย วาดลง iPad มันซะเลย
คืนนั้นตื่นเต้นมากกกจะได้เจอคุณสำลีในรอบ 1 เดือน ตื่นมาตั้งแต่ตีสี่(เพื่อ) แต่พอออกไปสนามบินจริงๆรถไฟใต้ดินดัน delay ไปถึงช้ากว่าเครื่องลงอีก ได้เพื่อนชาวสิงคโปร์หาเลขสายพานที่รับกระเป๋าให้ แม้จะไปถึงช้ากว่าเวลาเครื่องลง ก็ต้องรอประมาณ 20 นาที คุณสำลีถึงจะเดินออกมา
ปล. สนามบิน Changi มีทั้งหมด 3 Terminal เชื่อมกันด้วยรถไฟฟ้า (ขบวนเล็กๆ เหมือนนอนชาเขียวคลานดึ๊บๆ) สายการบินสีแดง จะลงที่ Terminal 1 ส่วนถ้าจะต่อ MRT เข้าเมืองให้ไปที่ Terminal 2
ดูพี่แกขนมา แน่ใจหรือว่ามาแค่ 4 วัน -..-
ลืมนึกไปว่าไฟลท์นี้มาจากเมืองไทย ก็ต้องมีคนไทยมาด้วยเกือบทั้งลำอยู่แล้ว นักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนเห็นป้ายแล้วขำ ส่วนคุณสำลี นางโวยวายว่าวาดรูปไม่เหมือน (ใช่ซี ชั้นจบวิศวะนะเฟ้ย ไม่ได้เอกศิลปะ) งั้นก็เทียบให้เห็นจะๆกันไปเลย
หลังจากนั้นก็เดินทางเข้าเมืองไปเก็บกระเป๋าที่บ้านก่อน เนื่องจากที่พักของฉันอยู่ที่สถานี Tiong Bahru ก็อาศัย MRT สายสีเขียวตรงดิ่งจากสนามบินไปได้เลย ส่วนถ้าใครจะซื้อซิมโทรศัพท์ หาซื้อตามสนามบินก็มีขาย หรือจะมาซื้อตามห้างในเมืองก็ได้
เก็บของเสร็จ จุดหมายต่อไปของพวกเราคือการไปซื้อตั๋วราคาถูกที่ร้าน Sea Wheel Travel นั่นเองร้านจะอยู่ชั้น 3 ของห้าง People’s Park Centre ในย่าน Chinatown สามารถนั่ง MRT ไปลงสถานี Chinatown แล้วออกตามป้ายที่เขียนว่า People’s Part Centre ได้เลย หรือนั่งรถเมล์ไปก็สะดวกดี แนะนำให้โหลด Google Maps หรือ application ที่ชื่อว่า gothere.sg ใช้คู่กับ SG NextBus สอง app แรกคือการหาเส้นทางกับสายรถเมล์ ส่วน app สุดท้ายเอาไว้ดูเวลาที่เราต้องยืนรอรถเมล์
คำเตือนคือมันจะมี 2 ห้างที่ชื่อเหมือนๆกัน คือ People’s Park Centre กับ People’s Park Complex บรรยากาศข้างในก็เหมือนกันด้วย (คล้ายกับพันทิปบ้านเรา) อย่าสับสนเข้าผิดห้างเด็ดขาด เพราะฉันเคยไปเดินหลง หาร้านขายตั๋วที่ว่ามาแล้ว กว่าจะคิดออกปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง
ราคาขายของที่นี่เมื่อเทียบกับราคาจริงแล้วถือว่าถูกลงมาอยู่พอสมควรทีเดียว แต่ควรจะแพลนมาแล้วว่าจะไปไหนบ้าง หากเกิดเหตุฉุกเฉินที่ทำให้ไปไม่ได้ เช่น ฝนตก ก็สามารถสลับวันไปได้ หรือเก็บไปขายต่อเพื่อนที่เมืองไทยเพราะไม่ fix วัน สามารถเก็บไว้ได้นาน 3-4 เดือนทีเดียว เจ้คนขายบัตรก็ใจดี แถมยังแนะนำว่าควรไปที่ไหน ช่วงไหนอะไรปิดปรับปรุงอีกด้วย
อันนี้ตารางครั้งพาคุณแม่มาซื้อ ตอนพาคุณสำลีมาเค้าปิดป้ายห้ามถ่ายราคาซะแบบนั้น สงสัยกลัวร้านอื่นกดราคาแหงม
บัตรเที่ยวที่พวกเราซื้อกันพร้อมราคา/ราคาจริง
– Singapore River Cruise 13/22
– Singapore Flyer 20/33
– Garden By the Bay (Flower Dome & Cloud Forest) 19/28
– Sea Aquarium 25/38
– Wings of Time (1st) 10/18
รวม 87 sgd จากราคาเต็ม 139 sgd ประหยัดไป 52 sgd หรือราวๆ 1,300 บาทไทย
ซื้อเสร็จ ลงมาชั้นล่างเห็น Ya Kun Kaya Toast ขนมปังสังขยาเจ้าดัง ก็จัดมา
มันคือขนมปังปิ้งกรอบสอดไส้สังขยา หรือ Kaya นั่นเอง ส่วนตัวว่ามันหว๊านหวาน แต่คุณสำลีดันชอบ ต่างคนต่างใจ จะให้ดีกินกับไข่ลวก เค้าบอกอร่อย (ไม่เคยลองเหมือนกัน)
เมื่อกี้แค่ออเดิร์ฟ ส่วนตอนนี้ได้เวลาจัดหนักที่ MaxwellRoad Food Centre ซึ่งเป็นศูนย์อาหาร (หรือเรียกกันว่า Hawker Center) อยู่ตรงข้ามกับวัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว จากหน้าห้าง People’s Park Centre ข้ามถนนใหญ่เดินมาตามทางโลด
ถึงหน้า Hawker Center แล้ว คุณสำลีหิวจัด มีการหันกลับมาเหล่ ประมาณจะถ่ายรูปอะไรกันนักหนา 55
Hawker Center คือชื่อเรียกศูนย์อาหารในสิงคโปร์ ถ้าตัดความร้อนอบอ้าวออกไป Hawker Center ก็ถือเป็นสวรรค์ของนักกิน (เยี่ยงข้าพเจ้า) เลยทีเดียว เนื่องจากมีร้านค้าให้เลือกซื้อมากมาย (บางทีเกินร้อยกว่าร้าน) ในราคาย่อมเยาว์ (ประมาณ 3-5 sgd ถือว่าย่อมเยาว์แล้วนะ ที่นี่ข้าวของแพงมาก T^T อิฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยอาหารใน Hawker Center นี่แหละ)
พลาดไม่ได้เลยสำหรับข้าวมันไก่ชื่อดังร้านนี้ Tian Tian Hainanese Chicken Rice เลขที่ 10 ร้านเปิดเวลา 11:30-20:00 น. ราคาอยู่ที่ประมาณ 3 SGD ดูคิวซะก่อน
แต่คุณสำลีไม่ย่อท้อ สู้ววววววววววววว
ถ้าใครรอคิวไม่ไหว สามารถไปซื้อร้านข้าวมันไก่ที่ถัดออกไปอีกสองร้านได้ ชื่อว่าร้าน Ah T??? เจ้าของร้านเคยเป็นพ่อครัวร้าน Tian Tian มาก่อน แต่เกิดทะเลาะกันเลยแยกมาเปิดเอง (เปิดให้ไกลกว่านี้หน่อยก็ได้พ่อคู้ณณณ) เค้าว่ากันว่ารสชาติด้อยกว่า แต่จริงเท็จประการใดยังไม่เคยไปพิสูจน์
ได้มาล่ะ เยิ้มเชียว
รสชาติอ้างอิงจากท่าทางการกินของคุณสำลีแล้ว คงไม่ต้องบอกว่าอร่อยเลิศขนาดไหน แทบจะกลืนจานเข้าไปด้วย
ยังไม่อิ่มหน่ำสำราญพอ สิ่งที่จะซื้อมาลองต่อไป ถือเป็นหนึ่งในอาหารสิงคโปร์แสนแปลกมีนามว่า “โรจัก” ที่ร้านเลขที่ 54 ชื่อ Rojak Popjah & Cockle (โรจัก – สลัดผักผลไม้ ราดน้ำสีดำ โรยถั่วป่น, เปาะเปี๊ยะ) เปิดเวลา 12:00-22:30 ราคาประมาณ 3 SGD
ไม่รู้จักหรอกว่ามันคืออะไร ขายยังไง ปรี่เข้าไปซื้อก่อนแล้วค่อยหันมาถาม
โรจัก อาหารแสนแปลก ประกอบด้วย แตงกวา สาลี่ สับปะรด ปาท่องโก๋ (บางเจ้าก็จะมีผลไม้เยอะกว่านี้ เช่น ขนุน แอปเปิ้ล มะม่วง แต่ก็จะแพงกว่านี้เช่นกัน) ราดด้วยน้ำสีดำเข้มข้น ปิดท้ายด้วยการโรยถั่ว เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
ขอบอกว่าหวานมาก น้ำตาลจะขึ้น -0- แต่ไหนๆไปถึงถิ่นกันแล้วก็อย่าลืมลิ้มลอง เพราะมันแค่ 3 sgd เท่านั้นเอร๊งงง (ประมาณ 75 บาท เหงื่อตก แต่ก็ถือว่าถูกแล้ว) ถ้าใครเห็นหน้าตาอาหารแล้วยังไม่ถูกฉโลกก็เปลี่ยนมาทานเปาะเปี๊ยได้ ร้านนี้เค้าขึ้นชื่อไม่แพ้กัน
ถ้าใครยังไม่อิ่ม ลองจัดกล้วยทอดที่ร้านเลขที่ 97 ชื่อ Hup Kee Wu Xiang Guan Chang เปิดเวลา 09:00-20:00 กล้วยทอดที่นี่จะใช้กล้วยหอม แป้งข้างนอกหนาแต่กรอบ ออกขมๆเค็มๆ ลูกละ 1.5 sgd (ไม่มีรูป นึกขึ้นได้ตอนกินหมดแล้ว)
พอกินอิ่มก็มีแรงเดินกันต่อ สถานที่ต่อไปไม่ไกลเลย แค่เดินข้ามถนนไปก็ถึง วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple) อันโด่งดังนี่เอง
ระหว่างเยี่ยมชม เค้ากำลังสวดมนต์กันพอดี มีพระจีนนำสวด เคาะให้จังหวะ ไพเราะเสนาะหู
ด้านหลังวัด มีโคมแดงห้อยอยู่เป็นจำนวนมาก เรียงเป็นแถวสวยเชียว เห็นคนขอพรกันอยู่ใต้เจ้าโคมนี้มากมาย แต่คุณสำลีแต่ติดตัวอะไรมา -0-
เนื่องจากสิงคโปร์มันร้อน คนส่วนใหญ่นิยมใส่กางเกงขาสั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะเข้าไม่ได้เพราะที่วัดมีผ้าให้พัน จะห่มบน (แขนกุด, เกาะอก) ห่มล่างได้ทั้งนั้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการอะไรมากมาย หยิบมาใช้ได้เลย แค่อย่าลืมเก็บคืนวัดนะจ้ะ
เป้าหมายถัดไป คือการเดินเที่ยวชมใน Chinatown
ย่าน Chinatown จำง่ายๆว่าจะมี 3 ถนนเรียงกัน อันได้แก่ Pagoda Street, Temple Street และ Smith Street (หรือ Food Street) ตามลำดับ และอยู่คนละฝั่งถนนกับห้าง People’s Park Centre ที่พากันไปซื้อตั๋วราคาถูกเมื่อกี้นี้ ขออัญเชิญ Google Maps เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น
วัดพระเขี้ยวแก้วจะอยู่ใกล้กับ Smith Street ซึ่งจะมีอาหารขายกลางถนนช่วงเวลาประมาณ 16:00 น. เป็นต้นไป แต่ยังไม่เคยไปกินซักทีเลยไม่รู้ว่าอร่อยไหม
Temple Street ไม่ค่อยมีของขายหรือจุดสนใจใดๆนัก สิ่งที่น่าสนใจจะอยู่ที่ Pagoda Street มากกว่า ในแง่ทั้งของขายและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ แต่รวมๆแล้วจัดว่าเยาวราชบ้านเราเหนือชั้นกว่ายิ่งนัก ไปสิงคโปร์ครั้งแรก ควรไปให้รู้ มาครั้งต่อๆไปก็ค่อยตัดออกไปได้ วันนี้แดดไม่ร้อนเท่าไหร่ คนเริ่มออกมาเดินบ้าง ตอนมืดๆจะคึกคักกว่านี้ 10 เท่า
ต่อไปเราจะพากันไปชมสวนอันขึ้นชื่อของสิงคโปร์ Gardens by the Bay
การเดินแสนสบาย ให้นั่ง MRT สายสีน้ำเงินจากสถานี Chinatown ไปลงที่สถานี Bayfront ถึงแล้วเดินตามป้ายที่เขียนว่า Gardens by the Bay จะเห็นทางกระจกกรุตลอดตามแนวยาว นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูปกัน พวกเราก็จัดอยู่ในกลุ่มนั้น
เอาแค่ตัวเองชัด น่าหมั่นไส้ที่สุด
โผล่จากสถานี MRT แล้วมองหาสะพานใหญ่ๆ เพื่อข้ามไปที่สวน สะพานนี้มีชื่อว่า Dragonfly Bridge มองลงจากสะพานจะเห็นแมลงปอสีทองอยู่ ที่มาของชื่อสะพาน (อันนี้เพื่อนชาวไทยนี่แหละบอกมา) จริงๆแมลงปอยังใช้เป็นสัญลักษณ์ของสวนนี้อีกด้วย
จุดมุ่งหมายของเรา คือการเข้าไปตากแอร์ในโดม แต่ก่อนจะเดินไปถึง ก็ขอแวะถ่ายเจ้า Supertree ที่เป็นหนึ่งใน Highlight ก็ Gardens by the Bay เล็กน้อย กลางวันว่าสวยแล้ว กลางคืนสวยยิ่งกว่า
โดมจะมีอยู่ 2 โดม ได้แก่ Flower Dome และ Cloud Forest เพื่อไล่ระดับความอลังการ แนะนำให้เข้า Flower Dome ก่อน ชมความงามของดอกไม้ แล้วค่อยไปสัมผัสความเย็นชุ่มชื่นหัวใจของน้ำตกที่ Cloud Forest
จากภายในเรือนกระจกแก้ว มองออกไปเห็น Singapore Flyer ชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ (หรือว่ามันมีอยู่อันเดียวหว่า) อีกด้วย อลังการงานสร้างจริงๆ
ฮันแน่ ทำเป็นตั้งใจศึกษาพืชพรรณธรรมชาติ รู้หรอกว่าแกล้งแอ๊คให้ถ่าย
บรรยากาศข้างในเป็นทางเดินค่อนข้างกว้างพอสมควร สองข้างทางมีพืชพันธุ์ให้ศึกษามากมาย เรียกว่าใครรักต้นไม้นี่แทบจะเดินอยู่ในนี้ได้ทั้งวันเลยทีเดียว (หลักๆเพราะมันเย็น)
คุณสำลีก็เป็นคนหนึ่งที่รักต้นไม้ใบหญ้า สังเกตจากการค่อยๆเชยชมอย่างทะนุถนอม
อีกทั้งยังเบิกบานมากในมวลดาวเรือง (ภาพนี้กว่าจะถ่ายได้ เล่นเอาคนที่ยืนดูดอกไม้อยู่ข้างๆขำเลยทีเดียว]
หันไปเจอแต่ดอกไม้งามๆ
เนื่องจากถูกบังคับให้ถ่ายรูปมากไป คุณสำลีเลยหนีไปแอบอยู่ตามต้นปาล์มยักษ์
แค่นั้นยังไม่พอ ไปเป็นตากล้องให้สาวอื่นอีก มันน่านัก
รื่นเริงกันใน Flower Dome จนอิ่มใจ เราจะไปต่อกันที่ Cloud Forest ที่อยู่ใกล้ๆ
เข้าไปถึง ก็ตกตะลึงกับน้ำตกจำลองที่รอตอนรับพวกเราอยู่กันเลย ความเย็นภายในโดมประกอบกับละอองน้ำจากน้ำตกนี่มันเย็นชื่นใจจริงๆ
การเดินในโดมนี้ แนะนำให้ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นบนสุดก่อน แล้วค่อยเดินไต่บันไดวนลงมา จะได้เหนื่อยน้อยหน่อย
ความสูงบนนี้ใช้ได้เลย เห็นคนข้างล่างตัวกระจิ๋วเดียว
เราก็จะเดินตามทางเดินแบบนี้ไปเรื่อยๆจนถึงชั้นล่างเลย
จะเห็นว่าตามทางเดินมีหมอกพ่นออกมาตลอด เป็นที่มาของชื่อโดมนี้ว่า Cloud Forest คือเหมือนกำลังเดินอยู่บนเมฆ เพื่อนที่นี่บอกมาว่าแต่ก่อนเค้าเปิดแอร์เย็นมากเพื่อให้ความเย็นช่วยให้ไอน้ำที่พ่นออกมาเป็นเหมือนเมฆที่สุด แต่หลังๆโดนนักท่องเที่ยวบ่นเยอะเลยลดอุณหภูมิลงมา แค่นี้ก็หนาวมากแล้ว
ออกมาจากโดมจะมาจ๊ะเอ๋กับร้านขายของที่ระลึกแบบพอดิบพอดี สินค้าที่วางขายก็น่ารักพอตัว ยกตัวอย่างน้องหมีลายตะไคร่น้ำ(คิดได้)แสนน่ารัก แต่คนถือน่ารักกว่า ฮิ้ววววววววววว
ออกมาเจอะกับ Singapore Flyer แบบชัดๆพอดีเลยขอ 1 รูป
อ่าวข้างๆ มีคนมาเล่นเรือใบกันด้วย ไฮโซโก้เก๋มาก
จุดหมายต่อไปคือ Marina Barrage เป็นที่ๆเพิ่มขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจเนื่องจากทำเวลากันค่อนข้างเร็ว เนื่องจากอากาศมันร้อน เราเลยแวะซื้อน้ำแข็งไสที่ศูนย์อาหารใกล้ๆ “Satay by the Bay”
เมนูนี้มีนามว่า Ice Kachang แสนจะแพงเลยขอบอก ถ้วยนี้ตกอยู่ที่ 4 sgd หรือ 100 บาทนั่นเอง
ดีใจมาก ได้ของกินสินะ
ที่นี่จะไม่มีไปบอกว่าเอาเครื่องแบบไหน น้ำราดสีอะไร เพราะเค้าจะใส่มาให้ทุกอย่าง ทุกสี กินไปเรื่อยๆสีจะปนกันสยองมาก อีกอย่างที่แตกต่างจากบ้านเราคือ ที่นี่ราดนมคาเนชั่นแทนที่จะเป็นนมข้นหวาน อืม รักสุขภาพแต่ความอร่อยหายหมดเลย ม่ายยยยย
Marina Barrage จะเป็นอาคารที่มีสวนสาธารณะอยู่ข้างบน ปกติแล้วชาวสิงคโปร์นิยมมาเล่นว่าวกันเพราะลมดีมาก ไม่แนะนำให้มากตอนแดดเปรี้ยงเพราะจะมีสภาพเหมือนเราสองคน คือจะเป็นลมแดดเอา แต่คุณสำลีบอกว่า ไหวอยู่นะฮ้าาา
เดินขึ้นทางวนไปไม่สูงมากนักก็ถึงกันซักที ไชโย
วิวข้างหน้าสวยใช่เล่น แต่ดูแดดซะก่อน เพลียย
แต่นู๋สู้ววว คุณสำลีกล่าว
มองออกไปด้านข้าง จะเห็นสันเขื่อนทอดยาวไปอีกด้าน สิงคโปร์เป็นประเทศที่เก่งในด้านการจัดการน้ำมาก พี่คนไทยเคยบอกว่า น้ำฝั่งที่ไหลเข้าสิงคโปร์ (ซ้าย) ถูกการบำบัดจนเป็นน้ำจืดไปแล้ว ยังไม่เคยชิมเหมือนกันเลยคอนเฟิร์มให้ไม่ได้ รู้แต่ว่าวิวกลางคืนตรงสะพานแห่งนี้ สวยงามและโรแมนติกยิ่งนัก (เพราะเคยมาวิ่งออกกำลังกายที่นี่ช่วงดึกพอดี)
วิวแบบเมฆมากก็ดูสวยไปอีกแบบ
มองไปด้านหลัง เห็นเรือขนส่งสินค้าเต็มไปหมด ต้นเหตุของความร่ำรวยของประเทศนี้ shipping industry
ขนาดร้อนยังมีคนมาเล่นว่าว
คุณสำลีลงไปกลิ้งเกลือกจนได้มุมนี้มา สวยแปลกดี
นางสะบัดกล้องด้วยความภูมิใจ หลังได้มุมนี้มา
วันนี้เดินมาก ใช้พลังงานเยอะ ประมาณหกโมงก็เริ่มหิวกันแล้ว เลยเดินย้อนกลับไปกินข้าวเย็นที่ Food Court ใน Marina Bay Sands (MBS) จะมี 2 ตึก ตึกเรือที่ขึ้นไปดูวิวได้เป็นโรงแรม ส่วนตึกเตี้ยๆข้างหน้าเป็นห้างและคาสิโน ให้ไปตืกเตี้ย Food Court อยู่ตึกนั้น ราคาอยู่ประมาณ 5 เหรียญขึ้นไป เราสั่งอาหาร 2 อย่างมาลองกินกัน
อย่างแรก Hokkien Mee บะหมี่ฮกเกี๊ยนผัดร้อนๆคลุกคลิกกับกุ้ง เคียงกันด้วยน้ำพริกเผาและมะนาวบีบพอให้เปรี้ยวหวาน
เนื่องด้วยผัดมาร้อนๆ ทำให้ความอร่อยเพิ่มสูงขึ้นอีก 30% โดยรวมแล้วถือว่าใช้ได้ทีเดียว
เมนูถัดมาคือ Chicken rice clay pot หรือไก่อบหม้อดิน ตามชื่อ มันคือการอบข้าวโปะไก่ในหม้อดิน ข้าวด้านหลังจะออกเกรียมนิดๆ กินร้อนๆ อร่อยดี เป็นหนึ่งในเมนูของสิงคโปร์ที่ไม่ต้องลุ้นมากว่าจะอร่อยไหม แย่สุดที่เคยเจอมาก็พอกินได้อยู่
กินอิ่มก็รีบออกมาหามุมสวยๆรอบ Marina Bay ถ่ายยามพระอาทิตย์อัสดง พระอาทิตย์ที่นี่ตกประมาณ 19:15 น. เราก็ไปเดินโต๋เต๋รอหามุมแถวนั้น ขณะที่คุณสำลีเริ่มกางขาตั้งกล้องเข้าโลกส่วนตัว ฉันก็มีไปเก็บภาพมาบ้าง แบบงงๆ ขอเริ่มที่กล้องกากๆไร้ขาตั้งก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวไปขโมยของคุณสำลีมาให้ดูกัน อิอิ
บริเวณ Helix Bridge หรือสะพาน DNA ฉันชอบวิ่งผ่านตรงจุดนี้มากเพราะมันสวยจริงๆ จะเจ๋งกว่านี้ถ้าไม่มีอัฒจรรย์ลอยน้ำเฉพาะกิจมาบัง (ไว้สำหรับการเฉลิมฉลองวันชาติสิงคโปร์ซึ่งตรงกับวันที่ 9 สิงหาคม)
จากหน้า MBS มองไปอีกฝั่ง จะเห็น Merlion สัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์พ่นน้ำอยู่ลิบๆ
ระหว่างนั้น จะมีเรือของ Singapore River Cruise ลอยอ้อยอิงมาเข้าเฟรมอยู่เป็นระยะ
กลับมามุมเดิม พระอาทิตย์ตกสมบูรณ์ ตามตึกเริ่มเปิดไฟ สวยไปอีกแบบ โรแมนติก
แต่นางเข้าโลกส่วนตัวไปแล้ว ไม่สนใจมู๋เลย
อย่ากระนั้นเลย ไปจิ๊กรูปนางมาดีกว่า ไม่น่าเชื่อว่าเราไปที่เดียวกัน รูปออกมาคนละเรื่อง (รูปใน post มาจาก 2 กล้อง จะสังเกตเห็นถึงความแตกต่างทั้งในด้านฝีมือและองค์ประกอบอย่างเห็นได้ชัด 555)
เวลาเปลี่ยน บรรยากาศเปลี่ยน
2 ทุ่มตรง ได้เวลาโชว์อันเป็นไฮไลท์ของอ่าวแห่งนี้ มีนามว่า WonderFull เป็นโชว์ฟรีที่มีทั้งเลเซอร์ น้ำพุ แสง สี เสียง ดนตรี สามารถดูได้ทั้งสองฝั่ง (MBS และ Merlion) วันนี้เราจะดูกันที่ฝั่ง MBS ก่อน ซึ่งจะเน้นที่น้ำพุและดนตรี น้ำพุจะเป็นลักษณะใบพัดและมีแสงฉายเป็นรูปต่างๆ เผอิญว่าวันนี้ลมแรง ใบพัดโย้เลยทีเดียว
โชว์มีทุกวันเวลา 20:00 น. และ 21:30 น. วันศุกร์และวันเสาร์จะเพิ่มมาอีก 1 รอบคือ 23:00 น.
โชว์จบประมาณ 20:20 น. ต้องรีบทำเวลาไปดูโชว์ Supertree Grove ใน Gardens by the Bay เป็นโชว์ของต้นไม้ยักษ์ที่จะเปลี่ยนสีไปตามเนื้อเพลง โชว์นี้มีทุกวัน 19:45 น. และ 20:45 น.
มาถึงก็จับจองที่นอนกันได้เลย ที่นี่เค้าจัดที่ให้นอนดูกันจริงๆเพื่อความฟิน ส่วนคุณสำลีก็ฟินกับลมเย็นๆจัด นอนจริงมันเลย
กลายเป็นว่าดูอยู่คนเดียว ทั้งที่ดูไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ไอตูดดดดดเอ้ย อุตส่าห์พามา
จุดหมายต่อไปของเราก็การไปลอยฟ้ากับชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในสิงคโปร์ Singapore Flyer
ผ่านสะพาน DNA ขอถ่ายซักแชะ
ระหว่างที่คุณสำลีตั้งตาตั้งตาถ่ายสะพานอยู่นั้น ฉันก็แอบไปซื้อไอติมท้องถิ่นอันลือชื่อมาลอง ที่นี่เค้าจะเอาไอติมมาตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมแล้วประกอบเวเฟอร์หรือขนมปังตามต้องการ
คุณสำลีดันหันมาเห็นพอดี แหงะ โดนดุเลย
ถึงกระเช้าแล้ว ตื่นเต้น ไม่เคยขึ้นตอนกลางคืน
กระเช้าจะหมุนช้าๆตลอดเวลา เราต้องขึ้นกระเช้าในขณะที่มันกำลังเลื่อนอยู่ อู้ หวาดเสียว
เนื่องจากใกล้จะปิดแล้ว (ปิด 22:30 น.) เจ้าหน้าที่เลยอัดคนเข้ามาในกระเช้าซะเยอะเลย
ลอยสูงขึ้น สูงขึ้น
เหลืองอร่าม สิงคโปร์ยามค่ำคืน
แต่วิวเมื่อกี้ก็ต้องยอมให้วิวนี้ แทบละลายคากระเช้า
ครบรอบแล้วรู้สึกคุ้มค่ายิ่งนัก วิวมันสวยจริงนะเออ มาสิงคโปร์แล้วไม่ควรพลาด เปิดทุกวัน นอกจากจะลมแรงจริงๆ เจ้าหน้าที่จะไม่ให้เราขึ้นแต่จะสแตมป์บัตรให้ไปขึ้นวันอื่นได้ (พ่อแม่เพื่อนมาวันลมแรงพอดี)
หน้า Singapore Flyer มองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นวิว Gardens by the Bay สวยแบบสงบๆ
ปิดท้ายวันที่ยาวนานด้วยมุมสวยๆอีกมุมของสิงคโปร์
ต้องรีบกลับล่ะ เดี๋ยวรถเมล์หมด post หน้าเราจะพากันไป Universal Studio Singapore รับประกันความมันส์ค่าาา