กว่าสองเดือนที่หายหัวไปไม่มาเล่าเรื่อง ไม่มีผลงานออกมา (เก๊าขอโต๊ด) นั่นเป็นเพราะว่ากำลังอยู่ในช่วง settle down หรือช่วงลงหลักปักฐาน มีอะไรให้จัดการค่อนข้างเยอะไล่เรียงไปตั้งแต่ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน และที่สำคัญที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องการทำงาน
การทำงานที่ไทยว่าตื่นเต้นแล้ว ที่นี่ตื่นเต้นยิ่งกว่า ลุ้นกันมันส์วันต่อวันว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง เป้าหมายของฉัน ไม่ใช่แค่ต้องปรับตัวเข้ากับการทำงาน เข้ากับคนที่นี่ให้ได้ แต่จะต้องทำให้พวกเขาประจักษ์ให้ได้ว่า คนไทยก็ไม่ได้แพ้ชาติไหนในโลก พอจบหนึ่งปี อย่างน้อยๆ คนครึ่งบริษัทและผู้บริหารซักครึ่งต้องพูดว่า I knew that Thai girl, she impressed me.
ถามว่าคนที่นี่ดูถูกเราไหม แบ่งเป็น 2 แบบ แบบแรกคือ ไม่มั่นใจ สงสัยว่าเราจะทำได้หรือเปล่า แบบที่สองคือ ดูถูก หน้าตารู้เลยว่าไม่อยากคุยด้วย มันคนละชนชั้น ปากนี่แบะมาแต่ไกล ก็มี ไอคนแบบนี้แหละที่จะต้องให้มันรู้ว่า ยืนเชิดอยู่บนคอหอยไปเถอะ เผลออีกซักแป๊บจะก้มลงไปจะหาเราไม่เจอ เพราะตรูอยู่บนเทือกเขาเอเวอร์เรสแล้วโว้ยยย
แต่อย่าว่าแต่คนที่นี่เลย เพื่อนๆคนไทย แม้กระทั่งตัวฉันเองในตอนแรก ก็ยังสงสัยและหวั่นใจในศักยภาพของตัวเอง เพราะการได้เลื่อนตำแหน่งก่อนมา นั่นหมายความว่าหน้าที่ความรับผิดชอบ ความคาดหวังยิ่งพุ่งสูงขึ้นตามลำดับ แต่แล้วฉันก็คิดได้ใน 2 วันแรกว่าถ้าหากจะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ อันดับแรก ต้องปรับ “ใจ” หรือทัศนคติตัวเองก่อน
ฝรั่งไม่ได้เก่งไปกว่าเรา สู้มัน
ฉันได้ยินประโยคนี้มานานมากแล้ว ทุกครั้งก็คิดฮึกเหิมว่า ใช่ ฉันก็เก่งเหมือนกันนะ แต่พอมาในสถานการณ์จริง คุณเอ้ย แมร่งพูดภาษาอังกฤษกันเป็นไฟ หูดับตับไหม้ ทำได้อยู่นิดเดียวโม้เป็นคุ้งเป็นแคว บางทีก็จับโม้ได้แบบเห็นกันจะๆ เช่น ประสบการณ์แค่ 5 ปี แต่มันรู้หมด ทำเป็นซากกะเบือยันเรือรบ เรซูเม่ 14 หน้า เป็นที่ปรึกษามาแล้วทุก industry พอฉันแกล้งแย็บไปว่าทำไมคุณถึงเก่งจังเลย ทำเป็นตั้งหลายอย่าง ถึงได้รู้เคล็ดลับของเขาว่าเขาไม่ได้ตั้งใจโม้ แต่เขาเชื่อว่าตัวเองเก่งแบบสุดยอดจริงๆ ถึงได้คุยฟุ้งได้แนบเนียนขนาดนั้น ฉันถึงตระหนักว่า คนเราถึงมีความรู้ความสามารถเท่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมั่นใจในศักยภาพของตัวเองแค่ไหน พรีเซนต์ตัวเองออกมายังไง แต่ก็ไม่ใช่มั่นใจเกินพอดี แบบนั้นคนอื่นเขาก็จับได้เหมือนกันว่าไม่ได้เก่งจริง
อย่ากลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษ
ก่อนมา ฉันถูกขู่มาเยอะมากว่าต้องโดนติงเรื่องภาษาอังกฤษแน่ๆ ให้เตรียมใจไว้ และด้วยความที่ตัวเองไม่เคยอยู่ใน English speaking environment มาก่อน เคยแต่ซ้อมพูดอยู่คนเดียว (เหมือนบ้าแต่ได้ผลเหมือนกันนะ) เลยทำให้ไม่มั่นใจอย่างแรง ประกอบกับความคิดที่ว่า เค้าจ้างเรามาทำงาน เราไม่ได้จ่ายเงินมาเรียน จะไปสุ่มสี่สุ่มห้าคุยกับเจ้านายและลูกค้าด้วยภาษาอังกฤษผิดๆถูกๆก็ไม่ควร บางครั้งเลยต้องนั่งทำใจ นั่งคิดก่อนว่าถ้าจะพูดแบบนี้เป็นภาษาไทยต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษประโยคประมาณนี้ ขอบอกว่าไม่ได้ใช้ ไปถึงจริง เจ้านายจะถามอย่างอื่นด้วย ต้องคิดให้เร็ว ตอบให้เร็ว อีกอย่างคือสำเนียง ที่นี่มีตั้งแต่สำเนียงจีน อินเดีย มาเลย์ อินโด บริชติช ฯลฯ ฟังรู้เรื่องอยู่ไม่ถึง 70% และสุดท้ายคือคำศัพท์ เป็นบ่อยที่อยากจะพูดถึงคำนี้แต่ไม่รู้ศัพท์ภาษาอังกฤษ เดือนแรกถึงขนาดนอนก่ายหน้าผากว่าจะทำยังไงดี ท้อใจ แสดงความคิดเห็นในงานหรือในบทสนทนาได้ไม่เต็มที่ ได้พี่ที่เป็น housemate บอกว่า พูดไปเลย ไม่ต้องกลัวแกรมม่าหรือโดนด่า ฉันก็กลับมานั่งคิดว่า จริงอย่างที่เขาว่า พูดไปเถอะ ถ้ามัวแต่กล้าๆกลัวๆจะพัฒนาได้ยังไง ยิ่งตอนพูดกับเพื่อนนี่ทำมือไม้ประกอบยิ่งมันส์ แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องพัฒนาเรื่อยๆ พยายามแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อนต่างชาติบ้าง นั่งดูศัพท์ใหม่ๆบ้าง พยายามไปพยายามมา ซักพักจะเริ่มฟังออก เถียงทัน ทำงานมันส์ feedback ที่ได้ก็ค่อนข้างดี CEO ไปชมให้เจ้านายที่ไทยฟัง น้ำตาแทบไหล ความกังวลหายเกลี้ยง เดินหน้าพัฒนาตัวเองเต็มกำลัง
ท่องไว้ “เราทำได้”
เพียงแค่เชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ เชื่อไหมว่าปัญหาหรือสถานการณ์ตรงหน้าก็ถูกแก้ไขไปกว่าครึ่งแล้ว การทำงานที่นี่ ส่วนใหญ่งานจะถูกโยนมาให้เลย บางครั้งไม่ได้บอกวิธีว่าจะต้องทำยังไง แบบไหน เช่น แค่บอกคร่าวๆว่าอยากได้ framework (มันคืออะไร) ขอละเอียด (ละเอียดระดับไหน) ในกรณีฉันโดนอยู่หลายครั้ง เช่น โปรเจคแรก อยู่ดีๆก็ให้ไปนั่งฟัง discussion ระหว่างฝั่งเรากับลูกค้า (ทางโทรศัพท์ สำเนียงจีน Vs อินเดีย) ลูกค้าก็บ่น ให้ feedback โน่นนี่นั่น เสร็จแล้วเจ้านายก็หันมาสั่งว่าไปแก้งานมา เพิ่งรู้เนื้อหาโปรเจคก่อนเข้าประชุม ไฟล์งานก็ต้องไปหาเอง เพื่อนร่วมงานก็ยังไม่ค่อยรู้จัก ฟังก็ไม่เข้าใจ 100% ลูกค้าก็บอก High-level เหลือเกินว่าอยากให้คำแนะนำมัน technical น้อยกว่านี้ จบ ไม่มีใครบอกว่าต้องทำยังไง พอออกแบบ solution เสร็จ ลองทำตัวอย่าง ก็ต้องนัดเวลาเจ้านายไปพรีเซนต์ผลงาน โดนเจ้านาย challenge อีกว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ ลูกค้าเค้าจะ buy-in หรือ ฯลฯ โหดมาก มองแทบไม่เห็นแสงสว่าง แต่ฉันท่องไว้ตลอดเวลาจนเชื่อจริงๆว่า “เราทำได้” อีกครั้งหนึ่งที่โดนทดสอบคือตอนที่ไปพรีเซ็นต์งาน ปกติถ้าทำงานที่ไทย เจ้านายจะบอกก่อนว่าครั้งนี้จะให้พรีเซ็นต์ หรือบางครั้งเราต้องไปขอโอกาสพูดเอง ที่นี่ โอกาสนั้นถูกโยนโครมมาแบบไม่ได้ตั้งตัว รู้พร้อมลูกค้าเลยว่าตัวเองต้องพรีเซนต์ ดึงเอาคาถาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใช้ ตรูทำได้! โว้ย ว่าแล้วก็ผ่านมันมาได้จริงๆ ถึงจะแกรมม่าผิดๆถูกๆ นึกศัพท์บางคำไม่ทัน แต่นายใหญ่ชม โล่งใจแล้ว
เปิดกว้างความคิด เต็มใจที่จะเรียนรู้งานทุกอย่าง
ในช่วงที่ฉันมา อยู่ในช่วงการปรับโครงสร้างและ direction ขององค์กร ดังนั้นโปรเจคที่มีเลยค่อนข้างน้อย ทำให้มีการว่างงาน (ไม่มีโปรเจคทำ) เกิดขึ้น ฉันเกลียดการทำ research หาข้อมูลต่างๆ เกลียดการ coding การทำงานที่ลง technical มากๆ เนื่องจากตัวเองไม่มี skills ทางด้านนี้ ตั้งแต่เรียนก็สู้เพื่อนๆไม่ได้จึงต้องผันตัวมาทำอาชีพ consult แต่พอมานั่งคิดแล้วก็ได้ข้อสรุปว่า เอาวะ ทุกอย่างคือการเรียนรู้ ถ้าพยายามมันก็ต้องทำได้ อาจจะทำได้ไม่ดีนัก แต่มันก็เป็นประสบการณ์ไว้ต่อยอดในอนาคต ดังนั้น ฉันจะไม่ปล่อยให้ตัวเองนั่งว่างๆ จะเที่ยวถาม manager ทุกคนไปทั่วว่ามีงานอะไรให้ช่วยไหม จะเล็กจะใหญ่ทำได้หมด เพราะถึงว่าไหนๆก็มีเวลาแค่ 1 ปี จะไม่ให้สูญเปล่าแม้ซักวินาทีเดียว
กล้าแสดงจุดยืน บอกความต้องการของเราให้ถูกคน
ข้อเสียอย่างหนึ่งของการเป็น consult คือเลือกโปรเจคที่ทำไม่ค่อยได้ หลายๆคนลาออกเพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดหรือชอบโดยที่ยังไม่ทันนำเอาปัญหาไปปรึกษาเจ้านาย ในการมาสิงคโปร์ในครั้งนี้ของฉันก็เหมือนกัน สิ่งที่คาดหวังคือการมาเรียนงานด้าน consult แต่กลับกลายเป็นว่าทีมที่ได้มาอยู่ดูจะหนักไปทาง coding ดึงข้อมูลเพื่อ support ทีมอื่น เพียงแค่ 2 อาทิตย์แรก ฉันนัดคุยกับเจ้านายใหญ่เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันคาดหวังในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้และอธิบายว่า coding ไม่ใช่ career path ของฉัน พี่คนไทยหลายๆคนเตือนว่าฉัน aggressive จนเกินไป ของอย่างนี้ควรรออีกหน่อย ฉันก็แอบเห็นด้วยที่ว่ามันอาจจะเร็วเกินไป แต่โชคดีที่ผลลัพธ์ของการคุยออกมาค่อนข้างดี ฉันถูกจับลงในโปรเจคที่น่าสนใจ ไม่หนัก technical บทเรียนในครั้งนี้คือ บางครั้ง เจ้านายก็อาจไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร มีความสามารถด้านไหน เวลามีปัญหาอะไรต้องคุยตรงๆกับเค้า อย่ามาบ่นมุ้งมิ้งแล้วลาออก ไม่ช่วยอะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดูวัฒนธรรมองค์กรด้วย อย่าเพิ่งสุ่มสี่สุ่มห้าหรือพูดตรงเกินไป อาจโดน kill ได้
ฝึกออกความคิดเห็น สรุปความ
เจ้านายที่นี่ ไม่มีสั่งอย่างเดียวแน่นอนแม้กระทั่งตอนที่สั่งงาน ท่านๆก็คาดหวังให้เราออกความคิดเห็น หากว่านั่งเงียบๆจะโดนว่าเอาได้ว่านี่ไม่ได้ให้มานั่งเฉยๆ เธอมีความคิดเห็นว่ายังไง จะเป็น strategy ของบริษัทหรืองานเล็กๆน้อยๆต้องมีความเห็นหมด ก่อนเข้าประชุมกับลูกค้าเจ้านายจะถามว่าอะไรคือจุดประสงค์ในการประชุมครั้งนี้ เราต้องการอะไรจากลูกค้า ถ้าออกมาจากห้องประชุมกับลูกค้า เจ้านายจะถามทันที่ว่า อะไรคือประเด็นสำคัญ อะไรคือ challenge ของโปรเจคนี้ ลูกค้ามี concern อะไร ได้เรียนรู้อะไรบ้าง ตอบจนเหนื่อย ห้ามอ้ำอึ้งด้วย จะโดนสับทันที
ผูกมิตรในที่ทำงานคือ A MUST!!!
ยิ่งไปทำงานต่างประเทศหรือในที่ที่ไม่คุ้น เชื่อเถอะว่าเราจะต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนๆในไม่ช้า แค่เรื่องพื้นฐานต่างๆ เช่น โปรแกรมนี้เปิดยังไง เบิกค่ารถค่าเครื่องบินยังไง กินกลางวันกันที่ไหน เสาร์อาทิตย์มีไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ความยากของที่นี่คือ เพื่อนๆชอบพูดจีนปนอังกฤษแบบ Singlish โถ พ่อคุณ แค่ Singlish ตรูก็ฟังไม่ออกแล้ว ไม่ต้องแถมจีนแมนดารินมาด้วยหรอก บางทีก็เหมือนถูกกันออกจากบทสนทนา ก็ต้องทำใจ พยายามเดาๆถามๆ อย่ายึดติดกับเพื่อนกลุ่มเดียว พยายามร่วมกิจกรรมหลายๆอย่าง ปลูกป่าสามัคคียันกีฬาเยาวชน เนียนเข้าร่วมโลด ไม่ต้องกลัวว่าจะเปลี่ยว โดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อน ในกรณีฉัน ขอเพื่อนไปลองเข้าโบสถ์ดู แล้วพอดีที่โบสถ์มีกิจกรรม ถึงจะรู้ว่าเพื่อนที่รู้จักไม่ว่างไปด้วย แต่ฉันก็ไป พอไปถึงแล้วคิดว่าคุ้มจริงๆเพราะได้เพื่อนเยอะมาก รู้จักกิจกรรมใหม่ๆเพิ่มขึ้น ได้กินขนมฟรีอีกตั้งหาก เสียสละเวลาไปเถิดแล้วจะได้เพื่อนและประสบการณ์กลับมา
รู้จักสร้างเครือข่ายกับบุคคลตำแหน่งสูง
คนไทยเรา ชินกับลำดับขั้น ชนชั้นวรรณะ ติดกับความคิดว่าไม่ควรเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปคุยกับคนระดับสูง แต่ความเป็นจริงแล้ว ฉันว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างเครื่อข่ายกับบุคคลเหล่านั้น เห็นชัดๆที่สุดเลยคือความรุ่งเรืองของอนาคตในหน้าที่การงาน แต่ประโยชน์ทางอ้อมที่ฉันชอบมากคือการได้เห็นแนวคิดเจ๋งๆของคนที่ผ่านโลกมาแล้วมากมาย และเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน ดังนั้นอย่ากลัวที่จะเข้าไปทำความรู้จักพูดคุย สิงคโปร์สำหรับฉันถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆเพราะเป็นที่รวมตัวของคนใหญ่คนโตระดับ regional ตั้งแต่วันแรกที่เจอ ฉันเข้าไปจับมือกับ CEO, Partner, Director แนะนำตัวว่ามาจากเมืองไทย หรือถ้าใครคิดว่ามันยังยากไป เทคนิคที่ฉันใช้บ่อยๆคือเข้าร่วมการประชุมหรืออะไรก็ตามที่พวกเขาเหล่านั้นไปคนพูด และอาศัยถามคำถามที่ค่อนข้างน่าสนใจหรือท้าทาย จากนั้นก็เข้าไปแนะนำตัวถามคำถามเพิ่มเติมหลังจบงาน อีกอย่างที่สามารถทำได้คือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของบริษัท เช่น ในจังหวะที่ฉันมาทำงานที่นี่ มีการเลือกตั้งเพื่อเป็นตัวแทนพนักงาน เรียกกันว่า Consulting Junior Board หรือ CJB ซึ่งฉันได้รับการ nominate รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นงานเพิ่ม แต่ก็ตั้งใจคิดสุนทรพจน์ที่ใช้ในการขึ้นพูดหาเสียงเผื่อว่าจะได้รับเลือกตั้ง เพราะรู้ว่ามันเป็นโอกาสที่ดีจริงๆที่จะได้ทำงานใกล้ชิดกับคนเก่งๆ ทั้งคนที่ได้รับคัดเลือก และเจ้านายระดับสูงหลายๆคน
ห้ามหน้าบางเด็ดขาด
จริงๆ อย่ากลัวคำปฎิเสธ อย่ากลัวอาย ตอนไม่มีโปรเจคทำ ฉันแทบจะป่าวประกาศให้ทุกซอกทุกมุมรู้ว่าตรูว่างอยู่นะ ไม่กลัวอายหรือกลัวว่าเค้าจะมองว่าเราไม่มีศักยภาพ ขอเพื่อนไปร่วมกิจกรรมหรือไปกินข้าวด้วย ถามว่ามีคนปฏิเสธไหม มีอยู่แล้ว ยิ่ง culture แบบพูดตรงๆแบบนี้ บางทีแปลเป็นไทยแล้วหน้าแอบชานิดๆเหมือนกัน แต่อย่าได้แคร์ คิดซะว่า มันเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเอง
บางข้อ อาจจะดู aggressive ไปซักนิด แต่ทำงานที่นี่ต้องออกจาก comfort zone ของตัวเองจริงๆ บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับฉัน 2 เดือนที่ผ่านมาเป็นการเรียนรู้ที่จะปรับตัว ปรับทัศนคติเกี่ยวกับการทำงานครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว หวังว่าคงจะมีประโยชน์กับหลายๆคนนะคะ
อ่านแล้วมีกำลังใจจังค่ะ ทำงานที่สิงคโปร์เหมือนกัน เริ่มได้ไม่ถึงปี เจอคล้ายๆกันเลย ^^
สู้ๆค่ะ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน!
ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ให้ฟังนะคะ เป็นวิทยาทานจริงๆ ค่ะ ทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่เจอแบบนี้ มันเป็นเช่นนั้นเอง จะเข้ามาอ่านทุกครั้งที่ท้อนะคะ