ก่อนหน้านี้ ฉันมีชีวิตที่ใครหลายคนอาจอิจฉา ครอบครัวอบอุ่น มีพ่อแม่ ฉัน และน้องชาย ทั้งพ่อและแม่มีงานทำในบริษัทที่มั่นคง ฉันเพิ่งจบในสถาบันที่มีชื่อเสียง ด้วยเกรดเฉลี่ยค่อนข้างดี ได้รับการตอบรับให้เข้าทำงานในบริษัทข้ามชาติ และเพิ่งได้คบกับผู้ชายคนหนึ่งจริงจังเป็นครั้งแรก
เรื่องนี้เริ่มต้นประมาณเดือนมิถุนายน 2556
พ่อโทรมาหาตอนเย็นเหมือนปกติ (พอดีว่าบ้านค่อนข้างไกลจากที่ทำงาน ฉันเลยเลือกเช่าอพาร์ทเมนท์ใกล้ที่ทำงานอยู่) พ่อบอกว่าถ่ายไม่ออกมาสองสามวันแล้ว ทั้งที่ปกติถ่ายคล่องมาก ถ่ายทุกวัน เช้าออกเย็นออก แต่คงไม่มีอะไร แล้วบอกให้ฉันดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้ป่วย อย่าเครียด (พ่อฉันน่ารักมากโทรมาบอกอย่างนี้ทุกวัน)
จากนั้นเป็นคำบอกเล่าของแม่ แม่บอกว่าในเช้าวันเกิดเรื่อง พ่อลงมานอนข้างๆแม่ (แต่ก่อนแม่ปูฟูกนอนพื้น พ่อนอนบนเตียง) ลมหายใจพ่อเหม็นมาก เหมือนมีกลิ่นอุจจาระลอยขึ้นมา แล้วพ่อก็บอกว่า เธอลาแล้วพาฉันไปหาหมอหน่อยนะ จะไปให้หมอสวนเอาอุจจาระออก แม่เลยพาพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำของพ่อ พ่อมีไปตรวจที่นี่และมีประวัติอยู่แล้ว
พ่อเป็นคนหมั่นออกกำลังกาย ฉันหายจากภูมิแพ้ได้เพราะพ่อพาไปออกกำลังกายเป็นประจำตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีใครเคยคิดว่าพ่อจะเป็นอะไรร้ายแรงในขณะอายุเท่านี้ เพราะพ่อเพิ่ง 50 ต้นๆ และแข็งแรงมาก
หมอพาพ่อไปเอกซเรย์ เจออุจจาระอัดแน่นอยู่ในลำไส้เล็กไล่ไปติดอยู่ที่กลางลำไส้ใหญ่ เห็นได้ชัดว่ามีก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งงอกขวางไว้ หมอบอกสวนตอนนี้ไม่ได้ เพราะลำไส้จะต้องแตกแน่นอน ต้องผ่าตัดออกสถานเดียว
แม่เป็นลมไปรอบหนึ่งตอนเห็นฟิลม์เอกซเรย์ แล้วโทรบอกฉันเสียงสั่นมากให้มาด่วน เรื่องใหญ่ ฉันหอบงานมาทำที่โรงพยาบาล ในช่วงที่แม่ไปเอาเสื้อผ้าเพื่อมานอนเป็นเพื่อนพ่อ ฉันได้มีโอกาสคุยกับพ่อก่อนผ่าตัดสองคน พ่อบอกว่าโอเค แต่แอบกลัวนิดหน่อย เอาเถอะ ผ่าเป็นผ่า (ลักษณะการถ่ายทอดของแม่กับพ่อจะต่างกัน แม่จะอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ พูดกับฉันตรงๆว่ากลัว ส่วนพ่อก็กลัวมาก แต่จะพูดให้ฉันสบายใจ เหมือนไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวล ความรู้สึกของพ่อที่ฉันจะถ่ายทอด ส่วนใหญ่คือพ่อจะบอกผ่านแม่แล้วแม่มาเล่าให้ฉันฟัง)
หมอบอกจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงอยู่ในห้องผ่าตัด เรื่องเนื้องอก มีโอกาสที่จะเป็นแค่เนื้องอกหรืออาจจะเป็นมะเร็งได้ ทั้งนี้ต้องเอาชิ้นเนื้อไปตรวจให้แน่ชัด พยาบาลเอาเอกสารยินยอมมาให้พ่อเซ็น รวมค่าใช้จ่ายเกือนแสนบาท แค่ค่าผ่าตัดอย่างเดียว หมออธิบายว่าจะต้องตัดลำไส้ใหญ่ออกส่วนหนึ่งคือประมาณ 8 เซนติเมตร ต้องยกไส้ขึ้นมาถ่ายที่ท้องประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี (พ่อกลืนน้ำลายดังเอื้อก) แล้วจึงต่อกลับเข้าไปถ่ายที่ทวารเหมือนเดิมได้
พ่อเข้าห้องผ่าตัดไป แม่ลงไปเฝ้าหน้าห้องผ่าตัดพร้อมกับเพื่อนของแม่และเพื่อนตรงข้ามบ้านที่มากันทั้งครอบครัว ส่วนฉัน แฟนของฉัน (ที่ตามมาสมทบ) กับน้องชายนั่งเฝ้าของมีค่าอยู่ในห้องพักคนไข้
ช่วงนี้คือช่วงเวลาที่ทรมานของแม่และฉันที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ความรู้สึกกลัวแผ่กระจายเต็มหัวไปหมด ฉันหมั่นโทรหาแม่ว่าพ่อออกมาจากห้องผ่าตัดหรือยัง
2 ชั่วโมงผ่านไป…
3 ชั่วโมงผ่านไป…
4 ชั่วโมงผ่านไป…
เกือบ 5 ชั่วโมง แม่เริ่มทนไม่ไหว ไปกดกริ่งเรียกหมอในห้องผ่าตัด แม่เข้าไปคุยกับหมออยู่ครู่แล้วเป็นลม ดีว่ามีเพื่อนไปด้วยสองคนเลยจับไว้ทันหัวไม่ฟาดพื้น แม่ถูกส่งลงไปที่ห้องฉุกเฉิก เพื่อนของแม่ (น้าจิ๋ว นามสมมติ) โทรเรียกฉันลงไปดูแม่
แม่จับมือฉัน หลับตาน้ำตาไหล แล้วพูดว่าพ่อแย่แล้ว ฉันพยายามตั้งสติ เพราะแม่ค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ บางทีจึงต้องลดทอนความร้ายแรงบ้าง แต่คำพูดที่ออกมาจากปากแม่ตอนนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ
แม่บอก หมอผ่าเข้าไปแล้วเจอก้อนเนื้อมะเร็งหลายจุดในช่องท้อง ผ่าออกไปแล้ว 3 จุด ยังเหลือจุดใหญ่ๆตรงกระดูกเชิงกรานที่เอาออกไม่ได้ เพราะติดกระเพาะปัสสาวะ คาดว่ามันจะโตขึ้นเบียดกระเพาะปัสสาวะจนทำให้ฉี่ติดขัดและฉี่ออกมาเป็นเลือดได้ในอนาคต
ฉันอึ้งไป ยังร้องไห้ไม่ออก เลยจับมือแม่ไว้บอกว่า “เราจะผ่านมันไป” แล้วเดินลอยๆกลับไปที่ห้องพักคนไข้ ส่วนแม่ พอค่อยยังชั่วก็ไปเฝ้าพ่อหน้าห้องผ่าตัดเหมือนเดิม
เกือบ 6 ชั่วโมงพอดี พ่อออกมาจากห้องผ่าตัด หน้าซีดมาก ฉันไม่เคยเห็นพ่ออ่อนแรงขนาดนั้น สะเทือนใจมาก พ่อร้องหาแม่ แล้วหันมาบอกฉันว่าให้โทรไปบอกเจ้านาย แจ้งว่าพรุ่งนี้ออกต่างจังหวัดไม่ได้ (พ่อฉันอยู่ฝ่ายขาย ต้องออกไปพบลูกค้าต่างจังหวัดบ่อยๆ) ตอนที่ฉันโทรไป พ่อพยายามจะแย่งคุย (แม้ว่าจะคุยไม่รู้เรื่องก็ตาม) ตอนนั้นเที่ยงคืนกว่า แม่เลยบอกให้เรากลับอพาร์ทเมนท์ไป
ระหว่างนั่งแท็กซี่กลับกับแฟน ความจริงมันเริ่มไหลเข้ามา พ่อของเรา คนที่เรานับถือ คนที่คอยเป็นห่วงเรา ขนาดตัวเองกลัวจะตายอยู่แล้วยังพยายามพูดให้ฉันไม่เป็นกังวล โลกเหมือนถล่ม ฉันน้ำตาไหลพรากแบบหยุดไม่ได้ แฟนก็เหมือนจะเข้าใจก็จับมือให้กำลังใจ (เพราะเพิ่งคบกันไม่กี่เดือน ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้แสดงอารมณ์มากนัก แทบไม่เคยร้องไห้เลย) พอกลับมาถึงอพาร์ทเมนท์ อาบน้ำเสร็จ แทบควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ร้องไห้จนตัวสั่น ไม่เคยร้องขนาดนั้นมาก่อน แฟนต้องมานั่งปลอบจนดึก ฉันเกรงใจมาก (พอดีอยู่อพาร์ทเมนท์เดียวกันแต่คนละห้อง) แต่ก็ทำให้ผ่านช่วงอารมณ์ตอนนั้นได้ดีขึ้น
วันรุ่งขึ้นฉันไปเคลียร์งานที่บริษัทก่อนลาเจ้านายไปเฝ้าพ่อ เบลอมาก คิดอะไรไม่ค่อยออก ทำงานแบบงงๆ ใครถามอะไรก็ตอบงงๆ เข้าห้องน้ำแบบงงๆ ฉันลืมลงกลอนประตู แล้วมีพี่คนหนึ่งเปิดเข้ามาตตอนกำลังทำธุระพอดี แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้ใส่ใจอะไร จิตใจยังคิดถึงเรื่องพ่อตลอดเวลา
ช่วงบ่ายฉันไปโรงพยาบาล ระหว่างเดินทางกลั้นน้ำตาจนปวดหัว พี่ที่บริษัทโทรมาต่อว่าเพราะทำงานตอนเช้าพลาด ฉันฟังแล้วได้แต่รับคำแต่โดยดี พี่ถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เปิดคอมพิวเตอรแล้วแก้งานเดี๋ยวนี้ ฉันยืนร้องไห้ตรงนั้นเลย (กลางสถานี MRT) แล้วบอกว่าฉันมาหาพ่อที่โรงพยาบาล ยังเดินทางไม่ถึง เดี๋ยวถึงจะแก้ให้ พี่เขาก็ตกใจ (เป็นใครก็ตกใจ) รีบบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาจัดการเอง นึกขอโทษพี่คนนั้นจริงๆ
ไปถึงเจอหมอกำลังพูดกับแม่และญาติๆ หมอบอกว่าพ่อเป็นมะเร็งเกือบระยะ 4 แล้ว (คือระยะสุดท้าย) แพร่เข้าน้ำเหลืองไปหมดแล้ว ตามสถิติ ประเมินว่าอยู่ได้อีก 5 ปี ทุกคนน้ำตาไหล เราตกลงกันว่าจะยังไม่บอกพ่อในตอนแรก บอกแค่ว่าเป็นมะเร็งแค่ตรงลำไส้ และต้องให้คีโม (chemotherapy)
แรกๆที่พ่อฟื้นขึ้นมา พ่อเจ็บแผลมาก ต้องขอมอร์ฟีนตลอด แม่เล่าว่าพ่อร้องไห้ กลัวโรคนี้ (ขนาดรู้แค่ว่าเป็นระยะที่ 1) กลัวเรื่องเงิน แต่พอตอนอยู่กับฉัน พ่อบอกว่าสบ๊ายย เวลาคนมาเยี่ยมพ่อจะบอกว่าเป็นนิดเดียว ตัดออกหมดแล้ว คีโมอีกนิดหน่อยก็หาย ฉันฟังแล้วสะเทือนใจเสมอ
ทุกๆวัน หมอจะมาเยี่ยม เราจะยกกันออกไปคุยนอกห้องพักคนไข้ แล้วเรื่องมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนหมอจะพยายามให้ญาติทำใจ จนฉันทนไม่ไหว เลยเดินไปถามหมอ ขอรู้ข้อมูลทั้งหมด ญาติๆทำใจได้แล้ว แล้วมองตาหมอ กลั้นน้ำตาจนเกร็ง หมอเลยพาไปที่ห้องตรวจ โชว์รูปทั้งหมดที่เค้าถ่ายไว้เวลาผ่าตัด บอกว่าเจอตรงนี้ แบบนี้ ฉันขอให้เพื่อนที่เรียนหมอมาช่วยอ่านผลของการเอกซเรย์ที่ขอมากจากพยาบาล ซึ่งเต็มไปด้วยศัพท์ทางการแพทย์ ฉันพยายามทำความเข้าใจกับโรคนี้ โทรไปถามทั้งคนที่เป็น ญาติคนที่เป็น ไปอ่านในเว็บไซต์ต่างๆ เพราะไม่รู้มันจะเป็นแบบไหนต่อไป
หมอบอกว่าพ่อมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ลำไส้ ทวารมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว 2 ปีที่แล้วหมอเคยแนะนำให้ส่องกล้อง แต่พ่อไม่ยอมเพราะกลัวเจ็บ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่
พออายุ 40-50 ต้องไปส่องกล้อง จะได้ไม่สายเกินไป
ส่วนฉัน หมอบอกว่าต้องมาส่องตั้งแต่อายุ 30 เพราะมะเร็งลำไส้เป็นโรคทางพันธุกรรม
พอค่าใช้จ่ายแตะสองแสน โรงพยาบาลก็เรียกแม่ไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย แม่เบิกเงินสดมาจ่าย (แม่ไม่ใช้บัตรเครดิต ลดปัญหาความฟุ่มเฟือย) พวกเราเริ่มคิดกันว่าจะทำอย่างไรดีเรื่องเงิน ฉันเลยแบ่งกับแม่ว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ ส่วนแม่รับผิดชอบเรื่องการรักษาต่อเป็นหลัก ฉันเริ่มโทรไปหาฝ่ายบุคคล (HR) ของบริษัทพ่อ ทำความเข้าใจเรื่องสวัสดิการที่พ่อจะได้รับ โทรหาประกันที่พ่อทำไว้ โทรหาประกันสังคม สอบถามหลักฐานทั้งหมดที่ต้องใช้ กลายเป็นว่าได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เพิ่มขึ้นเยอะมาก
ก่อนออกจากโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกือบสามแสน บริษัทพ่อจ่ายให้เกือบสองแสน ประกันจ่ายอีกห้าหกหมื่น กลายเป็นครอบครัวเราออกแค่ห้าหกหมื่น ส่วนนั้นต้องลองไปเบิกประกันสังคม (ซึ่งหลักฐานที่ใช้ หมอวินิจฉัยว่าผ่าตัดฉุกเฉิน) แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไม่ได้ แม่ไปคุยอยู่หลายรอบจนเลิกไปเพราะไม่มีเวลาพอ ทำให้ฉันหมดศรัทธากับประกันสังคมไปส่วนหนึ่ง หงุดหงิดเพราะพ่อจ่ายให้ประกันสังคมเดือนล่ะ 700 กว่าบาทมาตลอดอายุการทำงาน
เรื่องการรักษาต่อ ดูไว้หลายที่ ถ้าหากจะใช้ประกันสังคมต้องไปที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ซึ่งหมอที่รักษาอยู่ปัจจุบันบอกว่าคุณภาพอาจจะไม่ดีมาก ยาบางตัวอาจจะเบิกไม่ได้ เรามองหน้ากัน ประกอบกับที่แม่และฉันรู้ว่ามันร้ายแรงเร่งด่วนพอสมควร จึงมีขอสรุปว่า เราจะพาพ่อไปรักษาที่คลีนิกนอกเวลาที่โรงพยาบาลจุฬา ค่าใช้จ่ายคงต้องไปตายกันเอาดาบหน้า
ด้วยความที่ฉันมีฝันจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ท่องเที่ยวไปหลายๆที่ ถึงขนาดตอนนั้นพอเพิ่งผ่าตัดไม่ครบอาทิตย์ บริษัทจัดไปทำกิจกรรมที่ต่างจังหวัด ฉันแพ็กกระเป๋าจะไปด้วย พ่อบอกไปสนุกเถอะ พ่อสบายมาก แต่ตอนเช้าของวันที่ฉันจะไป แม่โทรมาร้องไห้ว่าอย่าไปเลย อยู่ไปเพื่อนแม่เพื่อนพ่อ ฉันถึงคิดได้ว่า ฉันเห็นแก่ตัวมาก สองคนนี้คือคนที่รักฉันมาก ให้ฉันมาทั้งชีวิต แค่นี้ฉันให้เขาไม่ได้เลยหรือ ฉันเลยพยายามเริ่มปรับความคิดใหม่ พ่อแม่ต้องมาก่อนเสมอ หลังจากนั้นแม่เรียกฉันมาคุย ขอให้ล้มเลิกความคิดที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งเป็นความฝันของฉันมาตั้งแต่เด็กๆ แม่บอกขาดฉันไม่ได้ แม่สู้ไม่ไหว
บอกตรงๆว่าฉันเศร้ามาก เหมือนอยู่ๆดีๆเป้าหมายที่มีมานานหายไป แต่ก็ยังไม่หยุดอ่านหนังสือจะไปสอบ ช่วงนั้นเหมือนหลอกตัวเองไปวันๆ ทรมานมาก ฉันอยากทำเพื่อแม่ให้ถึงที่สุด แต่อยากทำตามความฝันเหมือนกัน แม่จะให้ญาติๆมาพูดกับฉันเป็นระยะ มีวันหนึ่งน้าจิ๋ว มาถามเรื่องเรียนต่อเหมือนกันเพราะเห็นฉันอ่านหนังสืออยู่ ฉันจะน้ำตาตกเพราะความขัดแย้งในตัวเอง น้าจิ๋วบอกว่า ฉันต้องเข้าใจแม่ และค่อยๆทำให้แม่เข้าใจฉัน ฉันเลยคิดได้ว่ามันยังมีโอกาสอยู่ แค่อาจจะไม่ใช่อีกปีสองปี แต่ก็ไม่ผิดที่จะพยายาม
ระหว่าง 10 วันที่พ่อพักรักษาตัว ฉันไปๆกลับๆระหว่างโรงพยาบาลแถวบ้านและอพาร์ทเม้นท์ แฟนมารับกลับทุกวัน หิวก็กินของเยี่ยมคนป่วย (ฮ่า) เพราะพ่อกินไม่ได้ ทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ยังไม่ได้ทอดทิ้งฉันในช่วงที่ลำบาก
10 วันหลังผ่าตัดใหญ่ พ่อก็พร้อมออกจากโรงพยาบาล พวกเราตัดสินใจไม่ซื้อเตียงผู้ป่วยเพราะจะยิ่งทำให้พ่อคิดว่าตัวเองกำลังป่วย แม่จัดการสั่งโซฟาเบด (แบบที่นั่งก็ได้ นอนก็ได้) เตรียมรอไว้ พ่อต้องหยุดงานอีก 1 เดือน ส่วนแม่ ศรีภรรยาแห่งปี ขอหัวหน้าทำงานที่บ้าน ออกไปพบลูกค้าเมื่อจำเป็น ยังโชคดีที่แม่ฉันทำยอดขายได้ค่อนข้างเยอะ เป็นพนักงานที่จำเป็นกับความอยู่รอดของบริษัท จึงยังไม่ถูกไล่ออกที่หยุดอยู่บ้านดูแลพ่อ เนื่องจากพ่อยกไส้ขึ้นมาถ่ายที่หน้าท้อง แม่ศึกษาว่าจะต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง แล้วฝากให้น้าจิ๋วช่วยซื้อให้ เวลาเปลี่ยนถุงถ่ายคือช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด จะต้องทำความสะอาดอุจจาระที่ไหลออกมาเลอะรอบๆรูที่เปิดไว้ แม่จะเป็นคนเปลี่ยนให้ เอาน้ำเกลือล้าง เช็ดให้ อย่างน้อยมีสองครั้งต่อวัน บางวันพ่อท้องเสีย มันจะพุ่งออกมาเป็นน้ำ กลิ่นเกินคำบรรยาย แม่ศึกษาว่าควรจะทำอะไรให้พ่อทาน (ปกติแม่เป็นคนทำอาหารไม่เก่ง ไม่มีเวลาทำ แม่ศึกษาจนเดี๋ยวนี้ทำอาหารได้อร่อยทีเดียว) ค่าอุปกรณ์พวกนี้เดือนๆหนึ่งมี 3000 บาท แม่จ่ายหมด ไม่อยากให้พ่อกังวลเรื่องเงิน (ครอบครัวฉันพ่อแม่แยกกระเป๋ากัน)
พ่อน้ำหนักลดไป 5 กิโล ผอมลงมาก ช่วงนี้พวกเราพยายามให้พ่อกิจนเยอะๆ พยายามทำน้ำหนัก เผื่อน้ำหนักลดตอนให้คีโม ซึ่งหมอแนะนำว่าควรจะให้คีโม 1 เดือนหลังผ่าตัดเสร็จ ระหว่างอยู่บ้าน พ่อตั้งตารอวันไปทำงาน แอบทำงานในบางครั้ง พ่อทำงานมาตลอดชีวิต คงเบื่อที่ต้องอยู่เฉยๆ
3 อาทิตย์ผ่านไป…
พ่อเริ่มไปทำงาน แต่ยังคงไม่ค่อยสะดวกเพราะติดที่ลำไส้ที่โดยตัดขึ้นมาถ่ายที่หน้าท้อง พวกเราเรียกมันตามหมอว่า อ๊อส (ย่อมาจากศัพท์ทางการแพทย์) พ่อเล่าให้ฟังว่า เวลาประชุมอยู่มันก็ตด (มันตด อุจจาระ เหมือนที่ออกทางทวาร แต่พ่อจะควบคุมไม่ได้) แล้วพ่อก็ต้องไปเปลี่ยนถุงถ่ายทุกกลางวัน (พ่อเรียนจากแม่ระหว่างพักฟื้น) อ๊อสทำให้พ่อเราออกไปพบลูกค้าต่างจังหวัดไม่ได้ เป็นสิ่งที่ขัดขวางการทำงานระดับหนึ่ง
พ่อไปทำงานได้ 1 อาทิตย์ พวกเราทำนัดไปหาหมอที่คลีนิกนอกเวลาที่โรงพยาบาลจุฬา แต่ก่อนจะได้พบหมอ ความโชคร้ายระลอก 2 ก็มาเยือน
จากคำบอกเล่าของแม่ พ่อบ่นปวดท้องตั้งแต่กลางคืน แต่พยายามอดทนจนถึงตอนเช้า ตอนเช้าแม่รีบพาไปหาหมอให้เอกซเรย์แล้วโทรมาหาฉัน เผอิญว่าฉันติดประชุมกับลูกค้าทั้งวัน แม่เลยบอกไม่เป็นไรไม่ต้องรีบมาเพราะมีน้าจิ๋วมาอยู่เป็นเพื่อน ฉันบอกแม่ว่าจะไปหาตอนเย็น ช่วงเย็นญาติโทรเข้ามือถือ บอกว่าพ่อต้องผ่าตัดด่วนเพราะเจอว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ปกติจะทำการเจาะออกมาได้ แต่เนื่องจากพ่อเคยผ่าใหญ่ไปแล้ว อวัยวะต่างๆอาจจะไม่อยู่ที่ๆมันควรจะเป็นบวกกับเกิดพังผืดขึ้น ทำให้ต้องผ่าตัดออกเท่านั้น ส่วนแม่เครียดจนเป็นลมไป
ฉันลุกลี้ลุกล้นออกจากห้องประชุม (งงกันทั้งลูกค้าทั้งเจ้านาย) แล้วบึ่งไปโรงพยาบาล ไปถึงเจอพ่อนอนตัวเหลืองตาเหลืองอยู่บนเตียงผู้ป่วย แม่นอนสลบอยู่ที่เตียงผู้เฝ้าคนไข้อีกข้าง หมอให้ยานอนหลับและยาคลายเครียดซึ่งหมายความว่าแม่จะไม่ตื่นจนกระทั่งถึงเช้า เริ่มดึก ญาติเริ่มกลับ ฉันไปนั่งเฝ้าพ่อหน้าห้องผ่าตัด ทิ้งแม่นอนอยู่ในห้องพักคนไข้ โชคดีที่สักพักน้องชายก็กลับมาจากโรงเรียนเลยให้น้องเฝ้าแม่อยู่ข้างบน
เป็นครั้งแรกที่เราเฝ้าพ่อหน้าห้องผ่าตัด หมอบอกพ่อจะอยู่ในห้องผ่าตัดไม่เกิน 3 ชั่วโมง ตอนนั่งคนเดียวตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ถูก ร้องไห้ไม่ออก ความรู้สึกเกินคำบรรยาย เป็นห่วงทั้งพ่อและแม่ แต่ไม่ถึง 10 นาทีแฟนตามมาจากที่ทำงานมานั่งเป็นเพื่อน สักพักก็มีน้าจิ๋วมานั่งรอด้วย ทำให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้นพอสมควร
3 ชั่วโมงพอดีหมอเดินออกมา บอกว่าตัดถุงน้ำดีออกไปหมด ไม่มีผลกระทบอะไรนอกจาก ต่อไปดีพ่อจะกินของมันมากๆไม่ได้
พ่อถามหาแม่เป็นคนแรก ฉันถึงได้รู้ว่า แม่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพ่อจริงๆ น้ำหนักที่ยังทำให้ขึ้นไม่ได้ซักทีก็ลดลงไปอีก หมอบอกให้คิดในแง่ดีว่ามันมาเกิดตอนนี้ดีกว่าตอนที่ให้คีโมแล้วเพราะจะผ่าไม่ได้ เนื่องจากผลของคีโมอาจทำให้แผลไม่ประสาน
เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่สนใจเรื่องที่นอน (ปกติฉันจะเป็นคนนอนยาก) ฉันหากางเกงวอร์มของน้องชายมาใส่ ครึ่งบนยังเป็นชุดทำงาน แล้วนอนบนพื้นข้างๆเตียงคนไข้ของพ่อ ระหว่างนั้นพยาบาลจะมาวัดความดันทั้งคืน และพ่อจะต้องไปห้องน้ำ ฉันจะเป็นคนพาพ่อไปเพราะแม่ยังสลบอยู่ เป็นครั้งแรกที่ฉันช่วยพ่อฉี่ ทำให้ฉันรู้ว่าแม่ต้องดูแลพ่อในการผ่าตัดครั้งที่แล้วซึ่งหนักกว่าครั้งนี้ขนาดไหน
ค่าใช้จ่ายครั้งนี้เป็นแสน ประกันออกให้ไปครึ่งหนึ่ง แต่ไม่สามารถเบิกกับบริษัทพ่อได้แล้ว (ดังนั้นประกันชีวิตสำคัญมากให้ช่วงจังหวะแบบนี้)
1 อาทิตย์ผ่านไป พ่อกลับบ้านไปพักฟื้น แม่พาไปหาหมอที่คลีนิกนอกเวลาที่โรงพยาบาลจุฬา ตอนแรกเป็นหมอด้านลำไส้ หมอบอกว่านี่คุณเป็นระยะ 4 แล้วนะเนี่ย พ่อช็อคไปเลย ตีโพยตีพายกับแม่ใหญ่ว่าทำไมไม่บอกเขา มีการกระซิบบอกแม่อีกว่าไม่ให้บอกฉันว่าเขารู้แล้ว กลัวฉันไปห่วงเขา ตอนแม่เล่านี่น้ำตาซึม จากนั้นหมอด้านลำไส้จึงส่งเรื่องต่อให้หมอด้านมะเร็ง
วันที่ไปหาหมอด้านมะเร็งถึงได้รู้ว่าคนที่เป็นโรคนี้เยอะมาก (มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้) หมอบอกว่าจะต้องรออีก 3 อาทิตย์ถึงจะให้คีโมได้ เบื้องต้นจะส่งพ่อไปเอกซเรย์อีกรอบ และทำ MRI (คือการเอ็กซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) เพื่อที่จะดูว่าตกลงมีทั้งหมดกี่จุดกันแน่ ตอนทำ MRI พ่อเข้าไปนานมากประมาณ 2 ชั่วโมง จากคำบอกเล่าของพ่อ มันเป็นการเข้าไปในอุโมง มีเสียงตื้ดดด ตื้ด ตลอดเวลา ยกแขนจนเมื่อย แต่พ่อก็อดทนทำจนเสร็จ แต่บางคนทนไม่ไหวก็มี
ถึงวันให้คีโม หมอดูฟิลม์แล้วทำหน้าเครียด บอกว่ามันกระจายไปค่อนข้างเยอะแล้ว นอกจากคีโมต้องให้ยาอีกตัวด้วยคือยาคุมมันไว้ คีโมคือลด ทำให้มันฝ่อ ซึ่งยาคุมตัวนี้แพงมาก (9 หมื่น) รวมคีโมแบบถูก (3 หมื่น) เป็นแสนสองต่อครั้ง ถ้าเลือกคีโมแบบแพงจะต้องเพิ่มอีก 3 หมื่น ต่างกันตรงที่แบบถูกมาจากอินเดีย แบบแพงมาจากฝรั่งเศส หมอบอกไม่ต่างกันมาก
เห็นค่าใช้จ่าย แทบเป็นลมกันทั้งบ้าน แล้วต้องทำอย่างน้อย 8 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 3 อาทิตย์
ห้องที่นั่งให้คีโมไม่น่ากลัวอย่างที่คิด มีคนป่วยมาให้คีโมแล้วญาติๆนั่งเฝ้า ฉันค่อนข้างโล่งใจกับบรรยากาศโดยรวม เพราะพ่อจะเจอคนที่ต้องสู้กับโรคร้ายนี้เหมือนๆกัน มีคุณลุงคนหนึ่งพาภรรยามาให้คีโม ประสบการณ์โชกโชนมาก เข้ามาคุยด้วย พวกเราเลยได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น ฉันนั่งคุยจิปาถะกับพ่อจนพ่อให้คีโมเสร็จ ประมาณสองชั่วโมงนิดๆ พ่อบอกว่ามันแปล๊บๆที่แขน เหมือนกระแสไฟฟ้าช็อต ทุกคนได้แต่ภาวนาว่าพ่อจะไม่โดนผลข้างเคียงเยอะมาก
แม่ไล่ให้พ่อไปตัดผมสั้นขึ้น แม่กระซิบบอกฉันว่าตอนผมร่วงจะได้ไม่ตกใจมาก พ่อปรับการกินอาหาร จากไม่คอยกินผักกินปลาหนักเนื้อ กลายเป็นกินดีขึ้น ไม่แตะเหล้าเบียร์ และเพื่อรักษาระดับเม็ดเลือดขาวของพ่อ แม่จะต้มไข่ให้พ่อกินวันละหกฟอง กินแต่ไข่ขาว หลังๆพ่อเริ่มโอดครวญไม่อยากกิน เบื่อ แม่เลยอนุโลมเหลือ 4 ฟอง เช้า 2 เย็น 2 แต่ไปซื้อไข่เบอร์ 0 จากเบอร์ 2 ใหญ่ขึ้นมาหน่อย
พ่อจะให้คีโมทุกวันพุธเย็น พอครั้งที่สองเริ่มรู้วิธี คือไปออกจากบ้านตั้งแต่บ่าย 2 ตรวจเสร็จเกือบ 5 โมงก็ให้เลย จะเสร็จประมาณ 1 ทุ่มครึ่ง ฉันจะตามมาสมทบได้ประมาณ 6 โมงครึ่ง และแฟนฉันมาสมทบตอน 1 ทุ่ม เป็นแบบนี้ทุกครั้ง ครอบครัวเราจะนั่งให้กำลังใจพ่อ (จริงๆคือนั่งเม้าท์) กลุ่มใหญ่ เสริมเก้าอี้หลายตัว เฮฮามากจากพ่อเกือบลืมว่าตัวเองมีสายจิ้มอยู่ มีเดินโฉบไปคุยกับผู้ป่วยคนอื่นๆที่คุ้นๆบ้าง
หลังให้คีโม สองวันแรกๆพ่อจะเพลียตลอด นั่งหลับระหว่างวัน กินน้อย สำหรับพ่อ ถือว่าโดนผลคีโมไม่ค่อยมาก ผมไม่ค่อยร่วง ยังกินได้ และไม่คลื่นไส้ ถึงกับน้ำหนักขึ้นทุกครั้งที่ไปให้คีโมจนหมอสงสัย แต่ยิ่งมากครั้งยิ่งทรุด พยาบาลบอกเป็นเรื่องปกติ
พ่อกู้เงินที่ทำงานได้ 4 แสนแบบดอกเบี้ย 0% สำรองจ่ายไปก่อน มีญาติๆช่วยมา 2 แสน (ไม่รู้ว่าพ่อรับไหม แต่ตอนนั้นซึ้งในน้ำใจญาติๆพ่อมากกว่า)
3 ครั้งของการให้คีโมผ่านไป หมอบอกให้เป็นเอกซเรย์กับ MRI ใหม่เพื่อดูผลว่ามันยุบไหม ปรากฏว่ายุบ หมอเลยแนะนำให้ผ่าออก พ่อหน้าซีดเลย คงไม่อยากผ่าอีกรอบ แต่ก็ปรึกษาหมอว่าทำพร้อมกับยกไส้ลงได้ไหม หมอเลยส่งเรื่องให้หมอด้านลำไส้คนเดิม แต่ทั้งนี้จะต้องทำคีโมไปให้ครบ 8 ครั้ง และต้องหยุดให้คีโม 2 เดือนก่อนผ่า
วันเสาร์ที่ผ่านมา แม่พาพ่อไปหาหมอด้านลำไส้ หมอบอกว่า จะต้องไปหาหมอปอด ตับ และกระเพาะปัสสาวะก่อน (คืออวัยวะทั้งหมดที่มะเร็งลามไป) ดูว่าผ่าได้ไหม เพราะจะผ่าทั้งทีต้องรอบคอบ เป็นผ่าใหญ่ประมาณ 6-8 ชั่วโมง บางทีอาจต้องตัดกระเพาะปัสสาวะออกแล้วให้ฉี่ทางท้อง หมอให้ไปแสกนแบบเพชร แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องหยุดให้คีโมก่อน 6 สัปดาห์
ตารางนัดมาถี่มากๆ พ่อบอกกับแม่ว่าอาจจะตัดสินใจลาออกในอนาคต เพราะสงสารบริษัทที่พ่อต้องลาบ่อยๆและออกต่างจังหวัดไม่ได้ แม่เริ่มเครียดเพราะน้องยังเรียนไม่จบ แล้วเหมือนพ่อจะต้องรักษาอีกยาว ใช้เงินอีกหลายแสนหลายล้าน
ฉันเอาไปนอนคิด แล้วก็คิดได้ว่า ถ้างั้นลองศึกษาการขายของผ่านอินเตอร์เน็ต พ่อจะได้นั่งทำที่บ้านได้สบายๆ ส่วนน้องชาย คงต่อลองให้ขอทุนเรียนดู
เรื่องเรียนต่อ พ่อพูดกับฉันตรงๆว่าอยากให้ไป ถ้ามีปัญญาแล้วจงไป แม่ก็เห็นด้วย ฉันคิดว่าคงรอดูอาการพ่อดีขึ้นก่อนให้สบายใจ อีกสิบปีไปเรียนต่อก็คงไม่สาย
ฉันยังหวังว่าพ่อจะเป็นหนึ่งในคนที่มีชีวิตไปจนแก่เฒ่า เห็นน้องชายเรียนจบ เห็นฉันแต่งงาน ได้อยู่บ้านที่ฉันจะสร้างให้ มีเรื่องไปให้กำลังใจคนอื่นที่เผชิญชะตากรรมแบบนี้ว่า มันมีทางรอดนะ ดูเคสตัวอย่างผมสิ ดังนั้น ไม่ว่าจะออกหัวหรือก้อย ฉันมีสติและสู้เป็นเพื่อนพ่อ
เราจะผ่านมันไป
สู้ๆ ครับ
เป็นกำลังใจให้
มีเรื่องอะไรที่เราช่วยได้บอกได้เลยนะ 🙂
ขอบใจมาก 🙂
สู้ๆนะ เจนเข้มแข็งมากจริงๆ
ขอบใจมากนะ
สู้ๆนะเจน พ่อกำลังใจดี ครอบครัวเจนจะผ่านไปได้แน่นอน
เราเข้าใจความรู้สึกนะ ถึงจะไม่ทั้งหมดซะทีเดียว เพราะเพื่อนรักเราก็เป็น ตอนนี้ก็ยังรักษาอยู่
แล้วตอนนี้พ่่อเป็นยังไงบ้าง
ตอนนี้พ่อโอเค ผ่านการให้คีโมครบคอร์สและยังถือว่าควบคุมมันได้อยู่ แต่ก็ต้องระวังเรื่องการกินและไปหาหมอเป็นประจำ ขอบใจมากๆ พวกเราสู้ตายอยู่แล้ว 🙂
สู้ๆคับพี่แจน เป็นกำลังใจให้ พี่เข็มแข็งมาก เป็นกำลังใจให้คับ
แก สู้ๆนะเว้ย เพิ่งได้มาอ่าน เป็นกำลังใจให้ว่ะ สู้ๆแก สู้ๆ
สู้ๆน่ะเจนสวย เป็นกำลังใจให้น่ะจ๊ะ 🙂
สู้ๆๆ นะคะพี่เจน เป็นกำลังใจให้คะ 🙂
ตามมาจากพันทิปค่ะ อ่านแล้วน้ำตาไหล คิดถึงพ่อตัวเองเลย พ่อเราก็เปนมะเร็งเหมือนกันแต่เปนที่กล่องเสียง 🙁 เราเปนพยาบาลอยู่ที่รามาแต่อยู่แผนกหัวใจ อาจไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ในฐานะครอบครัวที่มีคนป่วยโรคนี้ กำลังใจสำคัญที่สุดนะคะ ทั้งกำลังใจของคนป่วยเองและกำลังใจของคนในครอบครัว บอกคุณพ่ออย่าท้อนะคะ สู้ๆ คุณเจนและครอบครัวเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุดของคุณพ่อ หมั่นเติมกำลำใจให้ตัวเองบ่อยๆจะได้ส่งต่อกำลังใจให้คุณพ่อได้นะคะ สู้ๆ เปนกำลังใจให้ผ่านมันไปนะคะ ขอให้คุณพ่อได้เหนความสำเร็จของลูกๆได้อยู่ในบ้านที่คุณเจนสร้างให้และได้อยู่ให้กำลังใจคนป่วยคนอื่นไปจนแก่เฒ่านะคะ ขอให้คุณพระคุ้มครองค่ะ 🙂
ขอบคุณมากนะคะ ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวรวมถึงตัวคุณพ่อก็พยายามอยู่อย่างเด็มที่เลยค่ะ กำลังใจเปี่ยมล้น จะสู้ให้ถึงที่สุดนะคะ
เจน แต๋มนะ 6/1 จำได้ไหม สู้ๆนะเจน แกเข้มแข็งมากเลยว่ะ ขอบคุณที่มาแชร์. เป็นความรู้และ เตือนสติมากเลยแก
จำได้อยู่แล้ว เพื่อนทั้งคน ขอบใจนะแก 🙂
Be stronger and do everything in the good way. You are strong girl.
Thank you so much ka. I’m doing my best everyday for him 🙂
สู้ๆๆๆๆระครับ ตอนนี้แม่ผมมานอนผ่าลำไส้ใหญ่อุดตัน และรอผลการตรวจชิ้นเนืออยู่ โชคดีที่หมอต่อให้เลยไม่ต้องขับถ่ายหน้าท้อง
ขอบคุณค่ะ
ตอนนี้การรักษาของคุณพ่ออยู่ในขั้นไหนครับ
ขั้นสุดท้ายแล้วค่ะ
อย่าเอาแต่เศร้านะน้อง หาอาหารเพื่อสุขภาพให้พ่อกินเวียนๆกันไป สำคัญนะ อาหารและอากาศ ต้องหาข้อมูลให้ดีๆ ทำอย่างไรให้พ่อเรารอด อย่าร้อง คนเก่งต้องช่วยพ่อสุดๆ อย่าลืม อาหาร และ อากาศ
ขอบคุณมากนะคะ ตอนนี้คุณพ่อเพิ่งเสีย แต่ก็อยู่มาได้เกือบสามปีค่ะ 🙂
สู้ๆนะค่ะ พ่อเราหมอก็นัดผ่าตัดยกลำไส้มาไว้ที่หน้าท้อง อีกสองอาทิตย์
คุณแม่ก็เป็นมะเร็งท่อน้ำดีระยะสุดท้ายเหมือนกันค่ะ แต่หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน3เดือน ไม่มีทางรักษาแล้ว
เข้มแข็งไว้นะคะ
ขอบคุณมากนะคะทีแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก
เป็นกำลังใจให้นะครับ
ขอบคุณนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้คุณเจนครับกับบททดสอบนี้ครับ ทุกอย่างจะผ่านไปครับ
ขอบคุณค่ะ
พ่อเราก็รักษาที่จุฬาคะ ตอนนี้ เป็นที่ตับ เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะคะ