20 ข้อคิดที่ได้จากการอ่านหนังสือ “The Last Lecture”

หลังจากมีเพื่อนแนะนำเมื่อหลายปีก่อน และพี่ที่ทำงานให้ยืมมา(ดอง) ก็ได้ฤกษ์อ่านหนังสือที่ชื่อว่า “The Last Lecture” ซักที ประทับใจกับหนังสือเล่มนี้มาก ระหว่างอ่านก็ได้จดข้อคิดในการใช้ชีวิตที่ได้ไว้พอสมควร ขอคิดที่ได้สามารถเอาไปใช้ได้กับทั้งด้านการทำงานและชีวิตครอบครัว

9780340977002_p0_v1_s260x420

หนังสือเล่มนี้ มาจากโครงการที่เลือกอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยในอเมริกาต่างๆพูดในหัวข้อ “The Last Lecture” คือเสมือนถ้าเป็นการบรรยายครั้งสุดท้ายของชีวิต คุณจะทิ้งอะไรไว้บนโลกใบนี้

Randy Pausch เป็นอาจารย์ที่สอนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ (computer science) ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอเมริกา ได้รับการติดต่อให้ขึ้นบรรยายภายใต้หัวข้อนี้ ทว่าไม่นานภายหลัง เขาถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย ทำให้การบรรยายครั้งนี้เป็น “The Last Lecture” สำหรับเขาจริงๆ 

pauschfamily

การบรรยายของเขาได้ถูกนำมาต่อยอดเป็นหนังสือที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งหลังจากอ่านแล้วต้องบอกว่า จับใจ เขาได้บรรยายความรักที่มีต่อภรรยาและลูกๆได้ลึกซึ้งกินใจ ทำเอาน้ำตาไหลได้ง่ายๆเลยทีเดียว หนังสือเล่มนี้ได้ให้ข้อคิดมากมายดังนี้

    1. “When you’re screwing up and nobody says anything to you anymore, that means they’ve given up on you”
      การมีคนเตือน ดุด่า ว่ากล่าว คือยังมีคนที่รักและห่วงใยเราอยู่
      ——————————————————————————————————————————————————-
    2. “An attitude that all students should have – know what  we don’t know, perfectly willing to admit it and don’t want to leave until we understand.”
      รู้ว่าตัวเราไม่รู้อะไร ยอมรับมัน และยืนยันที่จะเรียนรู้จนเข้าใจ
      ——————————————————————————————————————————————————-
    3. “I  don’t believe in no-win scenario.”
      อันนี้คัดลอกมาอีกทีจากคำพูดของกัปตัน Krik ในเรื่อง Star Trek คือ เขาเชื่อว่ามีหนทางชนะอยู่ในทุกสถานการณ์
      ——————————————————————————————————————————————————-
    4. “Ask yourself: Are you spending your time on the right things?”
      หนึ่งในเกร็ดเล็กๆของการบริหารเวลาคือต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่เวลาที่เสียไปหรือเปล่า ที่เด็ดไปกว่านั้นและน่าลองมาก ในหนังสือแนะนำว่าถ้าอยากจะจบบทสนทนากับคนขายของทางโทรศัพท์เร็วๆ ให้วางสายในขณะที่เราพูดอยู่ ปลายสายจะนึกว่าสัญญาณไม่ดีและโทรหาคนถัดไปในลิสต์รายชื่อ
      ——————————————————————————————————————————————————-
    5. “Take a time out”
      อย่ารับโทรศัพท์ อ่านอีเมล หรือข้อความใดๆเกี่ยวกับเรื่องที่ทำงาน ในวันหยุดพักผ่อน อันนี้เป็นเรื่องจริงที่อยากจะบอกทุกคน ส่วนตัวที่เจอมากับตัวเองคือ การทำงานระหว่างวันหยุด แม้จะนิดๆหน่อยๆก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้พักอย่างแท้จริง พอกลับมาทำงานจะเหมือนกับยังไม่ได้พัก ประสิทธิภาพในการทำงานยิ่งลดลงไปอีก ดังนั้นสำหรับฉัน หยุดคือหยุด ปล่อยวางทุกอย่าง แต่บางครั้งมันก็ต้องมีข้อยกเว้น (แนะนำให้บอกจุดยืนพร้อมเหตุผลกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานไว้ก่อนเนิ่นๆ)
      ——————————————————————————————————————————————————-
    6. “Develop a real ability to assess ourselves…welcome feedback”
      ก่อนที่จะพัฒนาตัวเองได้ ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เราต้องสามารถประเมินตัวเองได้ก่อนว่าดีหรือไม่ดี รวมทั้งรับคำเตือนของผู้อื่นๆ ส่วนตัวคิดว่า feedback เป็นสิ่งที่มีประโยชน์  แต่ประโยชน์โดยแท้จริงนั้นอยู่ที่ว่าจะเปิดรับมันแค่ไหน ฉันเป็นคนที่มักจะขอ feedback จากเจ้านายและเพื่อนร่วมงานเสมอ ตอนแรกไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรเพราะฉันมองหาแต่ feedback ในด้านบวก (คำชม) ปิดกั้น feedback ในด้านลบ ปลอบใจตัวเองว่าไม่จริงหรอก ฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วประโยชน์จริงๆที่จะช่วยให้คนเราพัฒนาได้นั้นอยู่ที่ feedback ด้านลบ ซึ่งฉันค้นพบว่าพอพยายามเปิดใจรับฟังแล้วมันช่วยได้มาก
      ——————————————————————————————————————————————————-
    7. “Don’t complain, just  work harder” 
      เอาเวลาบ่น ไปทำงานที่หนักขึ้นดีกว่า
      ——————————————————————————————————————————————————-
    8. “Treat the disease, not the symptom”
      แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ในหนังสือยกตัวอย่างแฟนเก่าของอาจารย์ที่เป็นหนี้อยู่หลายหมื่นบาท เธอเครียดมากจึงไปเล่นโยคะทุกวันอังคารตอนเย็นเพื่อลดความเครียด เขาแนะนำให้เธอใช้เวลาช่วงนั้นหางานพิเศษทำเพื่อจ่ายหนี้ ซึ่งเธอทำแล้วพบว่ามันคือวิธีการแก้ปัญหาที่แท้จริง
      ——————————————————————————————————————————————————-
    9. “Let everyone talk”
      อย่าพูดแทรก ให้เกียรติผู้อื่น การพูดดังหรือพูดเร็วสวนขึ้นมาไม่ได้ช่วยให้ความคิดของเราดีขึ้นกว่าเดิม
      ——————————————————————————————————————————————————-
    10. “Instead of “I think we should do A, not B” try “What if we did A, instead of B?””
      ประโยคคำถามจะเปิดรับความเห็นผู้อื่น ไม่ได้บังคับให้คนอื่นเลือกข้าง
      ——————————————————————————————————————————————————-
    11. “Almost everybody has a good side. Just keep waiting, it will come out”
      ทุกคนมีความดีอยู่ในตัว รอ…แล้วเราจะค้นพบ
      ——————————————————————————————————————————————————-
    12. “When it comes to men who are romantically interested in you, it’s really simple. Just ignore everything they say and only pay attention to what they do.”
      อันนี้สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลาย แนะนำให้วัดผู้ชายที่การกระทำ ไม่ใช่ลมปาก
      ——————————————————————————————————————————————————-
    13. “Be prepared …Luck is what happens when preparation meets opportunity”
      ข้อนี้ใส่ดอกจันไว้เยอะๆเลย จงเตรียมตัว ความโชคดีจะเกิดขึ้นเมื่อการเตรียมตัวตรงกับโอกาสที่ได้รับ เช่น อยากไปต่างประเทศ ต้องฝึกภาษาอังกฤษเตรียมไว้ อยากเป็นนักบิน ฝึกเลข หาข้อมูล ถนอมสายตา เมื่อโอกาสมา คุณก็พร้อมโบยบินทันที เป็นต้น
      ——————————————————————————————————————————————————-
    14. “Experience is what you get when you didn’t get what you wanted.”
      ประสบการณ์คือสิ่งที่คุณได้เมื่อคุณไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ แปลง่ายๆคือ เมื่อล้มเหลวนั่นเอง ดังนั้นจงอย่ากลัวการล้มเหลว มันคือประสบการณ์ที่มีค่า
      ——————————————————————————————————————————————————-
    15. “Always write thank-you notes”
      เป็นคำแนะนำที่เจอบ่อยมาก ให้เขียนคำขอบคุณ โดยเฉพาะด้วยลายมือ เป็นสิ่งที่บางทีอาจเปิดโอกาสดีๆในชีวิตเราได้
      ——————————————————————————————————————————————————-
    16. “A bad apology is worse than no apology.”
      อย่าขอโทษแบบไม่จริงใจ เช่น ขอโทษนะถ้าทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ขอโทษนะแต่คุณก็ต้องขอโทษฉันกลับเช่นกัน การขอโทษที่ดีควรมี 3 ส่วน
      > อะไรที่เราทำผิดไป
      > ขอโทษจริงๆที่ทำคุณเสียใจ
      > จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร
      ——————————————————————————————————————————————————-
    17. “Tell the truth”
      การโกหกไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีในระยะยาว ซักวันความจริงจะต้องปรากฎ
      ——————————————————————————————————————————————————-
    18. “All you have to do is ask”
      ข้อนี้เป็นความจริงที่สุด บางทีถ้าเราต้องการอะไร สิ่งที่เราต้องทำคือการเอ่ยปากขอ ในหนังสือได้ยกตัวอย่างตอนที่อาจารย์พาลูกชายไป Disney land ลูกชายของเขาอยากขึ้นไปนั่งร่วมกับคนขับรถ monorail สิ่งที่เขาทำเพียงแค่ขอคนขับให้ลูกชายขึ้นไปนั่งด้วยเท่านั้น
      ——————————————————————————————————————————————————-
    19. “We should have a healthy balance between optimism and reality”
      การมองโลกในแง่ดี ต้องให้สมดุลกับความจริงที่เป็นไปด้วย
      ——————————————————————————————————————————————————-
    20. “The brick walls are there for a reason…They give us a chance to show how badly we want something… and keep others who don’t out”
      ส่วนตัวอันนี้ชอบสุดๆ คิดว่าต้องปฎิบัติตามนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เหตุผลของการมีอยู่ของอุปสรรคคือ มันให้โอกาสเราแสดงว่าเราต้องการสิ่งๆนั้นมากแค่ไหน และกันคนที่ไม่ต้องการเท่าออกไป …เรียนต่อเมืองนอก ทำงานกับบริษัทที่มีชื่อเสียง เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เที่ยวรอบโลก ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้ามีความพยายามมากพอ แสดงให้เห็นว่าเราต้องการมันมากแค่ไหน

อันนี้แค่ส่วนหนึ่งของหนังสือที่ฉันคิดว่าเป็นประโยชน์ สามารถอ่านฉบับเต็มได้ในหนังสือ หรือใครที่มีเวลาจำกัด แนะนำให้ฟังการบรรยายจริงๆจากคลิปข้างล่างนี้ สนุก ตลก จับใจ ควรค่าแก่การชมจริงๆ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*